หนังสือ Productivity สำหรับปี 2026

ในยุคที่ข้อมูลล้นมือและเวลามีจำกัด การเลือกแนวทางจัดการชีวิตและงานให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับปี 2026 นี้

ธุรกิจที่ทำโฆษณา Google Ads ไม่ได้

หนังสือ Productivity สำหรับปี 2026

ในยุคที่ข้อมูลล้นมือและเวลามีจำกัด การเลือกแนวทางจัดการชีวิตและงานให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับปี 2026 นี้ หนังสือ 3 เล่มต่อไปนี้ นำเสนอแนวคิดและระบบที่แตกต่างกัน แต่ล้วนช่วยให้คุณมีเวลา พลังงาน และสมาธิมากขึ้น เพื่อใช้กับสิ่งที่มีคุณค่าจริง ๆ ในชีวิต

1. Make Time: วิธีจัดการความสนใจในโลกที่วุ่นวาย

Make Time โดย Jake Knapp และ John Zeratsky นำเสนอแนวคิดว่า การบริหารเวลาไม่ใช่เรื่องของการทำให้เร็วขึ้น แต่คือการ “สร้างเวลา” สำหรับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ผู้เขียนเป็นอดีตทีม Google Ventures ที่พัฒนา Design Sprint พวกเขาเชื่อว่าเราต้องต้านวัฒนธรรม “ความยุ่งตลอดเวลา” และหลีกเลี่ยง “สระว่ายน้ำไร้จุดจบ” อย่างโซเชียลมีเดีย

จุดเด่นของแนวคิด Highlight

สิ่งที่น่าสนใจใน Make Time คือแนวคิดเรื่อง Highlight หรือ “จุดเด่นของวัน” ซึ่งเป็นการเลือกกิจกรรมสำคัญเพียงหนึ่งอย่างในแต่ละวันมาเป็นเป้าหมายหลัก ผู้เขียนเสนอว่า ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเสร็จในวันเดียว แต่สิ่งที่ควรให้เวลากับมันมากที่สุดคือสิ่งที่คุณให้คุณค่าจริง ๆ

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีงานนำเสนอในวันพรุ่งนี้ Highlight ของวันนี้อาจเป็น “เตรียมเนื้อหาสไลด์ให้เสร็จ” หรือหากเป็นวันหยุด คุณอาจเลือก Highlight เป็น “ไปเดินเล่นกับครอบครัวที่สวนสาธารณะ” เพื่อสร้างความสัมพันธ์

การเลือก Highlight ช่วยให้คุณเริ่มต้นวันด้วยความชัดเจน และไม่ปล่อยให้เรื่องเล็ก ๆ ดึงพลังงานหรือเบี่ยงเบนความสนใจไปหมดวัน ผู้เขียนแนะนำให้เลือก Highlight ตาม 3 เกณฑ์ คือ ความเร่งด่วน ความพึงพอใจ หรือความสุข

กรอบการทำงาน 4 ขั้นตอน:

  1. Highlight: เลือกจุดโฟกัสเพียงหนึ่งอย่างในแต่ละวัน เช่น งานที่สำคัญ หรือสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกดี เพื่อให้คุณใช้พลังงานทั้งหมดกับสิ่งนั้น
  2. Laser: ตัดสิ่งรบกวน ลดการแจ้งเตือน ใช้โทรศัพท์ให้น้อยลง และควบคุมเวลาที่ใช้กับเนื้อหาดิจิทัล
  3. Energize: ดูแลร่างกายและจิตใจ เช่น ออกกำลังกาย นอนให้เพียงพอ เลือกอาหารที่ดี และพักจากหน้าจอบ้าง
  4. Reflect: ทบทวนทุกวันว่าอะไรใช้ได้ผล แล้วปรับให้เหมาะกับชีวิตจริงของคุณ

แนวคิดของ Make Time ไม่เน้นความสมบูรณ์แบบ แต่เน้นการลงมือทำซ้ำและเรียนรู้จากแต่ละวัน

2. Building a Second Brain: เปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นสมองที่สอง

ใน Building a Second Brain Tiago Forte เสนอระบบจัดการความรู้ส่วนบุคคล (PKM) โดยใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น Notion หรือ Evernote เป็นคลังข้อมูลที่ไว้ใจได้ เป้าหมายคือปลดสมองจากภาระการจำ แล้วใช้สมองเพื่อคิด วิเคราะห์ และสร้างสรรค์

แนวคิดหลักคือ “สมองมีไว้คิด ไม่ได้มีไว้จำ” การจัดเก็บข้อมูลในระบบภายนอกทำให้คุณดึงพลังงานมาใช้กับการตัดสินใจและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ แทนที่จะเหนื่อยกับการพยายามจำรายละเอียดทั้งหมด

ทำความเข้าใจ PARA Method: โครงสร้างหลักของสมองที่สอง

หัวใจสำคัญของการจัดระเบียบข้อมูลใน Building a Second Brain คือ PARA Method ซึ่งประกอบด้วย 4 หมวดหมู่ที่ครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องจัดการ ช่วยให้สามารถค้นหาและใช้งานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. Projects (โครงการ): สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่และมีเป้าหมายชัดเจน เช่น “ออกแบบเว็บไซต์ให้ลูกค้า A” หรือ “เตรียมพรีเซนต์โปรเจกต์ต้นเดือน”
  2. Areas (ขอบเขตความรับผิดชอบ): สิ่งที่คุณต้องดูแลต่อเนื่อง เช่น “สุขภาพ”, “การเงินส่วนตัว”, “ความสัมพันธ์”, หรือ “พัฒนาทักษะ”
  3. Resources (แหล่งข้อมูล): ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสนใจหรือสิ่งที่อาจนำมาใช้ในอนาคต เช่น โน้ตเกี่ยวกับ “การตลาดดิจิทัล”, “แนวทางเขียนคอนเทนต์”, หรือ “เครื่องมือวางแผนการเงิน”
  4. Archives (คลังเก็บ): สิ่งที่ไม่ได้ใช้งานในตอนนี้แต่ต้องเก็บไว้ เช่น โปรเจกต์ที่จบแล้ว เอกสารเก่า หรือไอเดียที่รอวันกลับมาใช้

ระบบ PARA ช่วยให้คุณไม่ต้องคิดซ้ำเวลาจะจัดเก็บหรือค้นหาข้อมูล แค่ถามตัวเองว่า “สิ่งนี้อยู่ในหมวดใดของ PARA?” คุณจะรู้ทันทีว่าควรจัดไว้ตรงไหน

CODE Method: 4 ขั้นตอนหลักของการทำงานกับสมองที่สอง

นอกจากโครงสร้าง PARA แล้ว หนังสือยังเสนอขั้นตอนการทำงานกับข้อมูลผ่านแนวคิด CODE:

  1. Capture (จับ): เก็บเฉพาะสิ่งที่มีความหมายหรือมีศักยภาพในการใช้งานในอนาคต ไม่ใช่เก็บทุกอย่างที่เจอ
  2. Organize (จัดระเบียบ): ใช้โครงสร้าง PARA เพื่อจัดเก็บข้อมูลให้อยู่ในบริบทที่นำไปใช้งานได้จริง
  3. Distill (กลั่น): ดึงประเด็นสำคัญของโน้ตหรือเนื้อหา เพื่อให้ค้นหาและใช้งานได้รวดเร็ว โดยใช้เทคนิค Progressive Summarization
  4. Express (แสดงออก): นำข้อมูลมาใช้จริงผ่านการเขียน ทำโปรเจกต์ หรือเสนอแนวคิด เช่น การเตรียมพรีเซนต์ หรือออกแบบผลิตภัณฑ์

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่มีเนื้อหาและไอเดียกระจัดกระจาย แต่ต้องการระบบที่ทำให้ความรู้ของตนเองมีมูลค่ามากขึ้นในระยะยาว

3. Getting Things Done: ระบบจัดการงานที่ไม่ทำให้คุณล้า

David Allen ผู้เขียน Getting Things Done (GTD) พัฒนาระบบบริหารงานส่วนตัวที่โด่งดังทั่วโลก หนังสือเล่มนี้เน้นการ “ดึงทุกอย่างออกจากหัว” และจัดการผ่านระบบที่เชื่อถือได้ เพื่อให้คุณมีจิตใจสงบ และตัดสินใจได้ดีขึ้น

หนึ่งในประโยคสำคัญที่สรุปแนวคิดหลักของ GTD ได้อย่างชัดเจนคือ “Our mind is for having ideas, not holding them.” หรือ “สมองมีไว้คิด ไม่ได้มีไว้จำ” แนวคิดนี้เน้นว่าเราควรปลดสมองจากภาระการจำรายละเอียด เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการสร้างสรรค์ ความคิดใหม่ และการตัดสินใจที่มีคุณภาพ การพยายามเก็บทุกอย่างไว้ในหัวทำให้คุณรู้สึกหนัก วิตก และหลุดโฟกัสจากงานสำคัญ

แนวคิดนี้ยังส่งอิทธิพลต่อหนังสือ Building a Second Brain โดยตรง Tiago Forte นำหลักการเดียวกันมาใช้กับการจัดการความรู้ส่วนบุคคล ผ่านการสร้างระบบบันทึกภายนอกที่ไว้ใจได้ เพื่อให้คุณไม่ต้องใช้สมองเป็นคลังข้อมูล แต่ใช้สมองเพื่อวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลให้เกิดประโยชน์แทน

ขั้นตอนหลักของ GTD

  1. Collect: รวบรวมทุกเรื่องที่ดึงความสนใจของคุณมาไว้ในกล่องรับ เช่น สมุด, แอป, หรือกล่องจดหมาย
  2. Process: ตรวจทีละรายการ ถามว่า “ต้องทำอะไรกับมัน” ถ้าทำเลยได้ใน 2 นาที ให้ทำทันที
  3. Organize: แยกงานตามประเภท เช่น โปรเจกต์, งานที่ต้องทำถัดไป, หรือเรื่องที่รอดูในอนาคต
  4. Review: ทบทวนระบบทั้งหมดทุกสัปดาห์ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นปัจจุบันและน่าเชื่อถือ
  5. Do: เลือกงานที่เหมาะสมที่สุดกับบริบท พลังงาน และเวลาที่มี

GTD เป็นระบบที่ยืดหยุ่น แต่ต้องใช้วินัยในการบำรุงรักษา เหมาะกับคนที่มีงานหลากหลายและต้องการปลดล็อกภาระทางใจ

หนังสือเล่มไหนเหมาะกับใคร?

  • Make Time เหมาะกับคนที่รู้สึกว่ายุ่งตลอดเวลา และต้องการโฟกัสกับสิ่งสำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงานหรือครอบครัว
  • Building a Second Brain เหมาะกับคนที่มีข้อมูลเยอะ ไอเดียเยอะ และอยากสร้างระบบจัดการความรู้ส่วนตัวให้ค้นหาและใช้งานง่าย
  • Getting Things Done เหมาะกับคนที่มีหลายโปรเจกต์พร้อมกัน งานไหลเข้ามาตลอดวัน และต้องการระบบจัดการงานให้เป็นระเบียบ

สรุป

ทั้งสามเล่มมีแนวคิดที่ต่างกัน: Make Time เน้นโฟกัสและลดสิ่งรบกวน, Building a Second Brain เน้นจัดเก็บความรู้ให้มีระบบ และ Getting Things Done เน้นกระบวนการจัดการงานให้มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือผสมผสานกัน ขึ้นกับบริบทของคุณเอง

สิ่งที่ผมชอบคือ ทั้งสามเล่มไม่ขัดแย้งกัน แต่กลับส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างลงตัว:

  • Getting Things Done ช่วยสร้างระบบการจัดการงานและข้อมูลให้ชัดเจน ลดภาระทางใจ
  • Building a Second Brain ช่วยจัดเก็บและดึงข้อมูลที่สำคัญให้พร้อมใช้งานกับทุกงานที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็นงานสร้างสรรค์หรือวางแผนชีวิต
  • Make Time ช่วยให้คุณลงมือทำสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ในแต่ละวัน โดยไม่หลงทางไปกับสิ่งรบกวน

หากคุณต้องการสร้างระบบ productivity ที่สมดุลทั้งด้านการจัดการงาน การจัดเก็บข้อมูล และการใช้เวลาตามเป้าหมาย หนังสือทั้งสามเล่มนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาวิธีทำงานและการใช้ชีวิตของคุณ

ทำการตลาดออนไลน์ให้เติบโตกับ SMEJUMP

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีเพิ่มยอดขายและเข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ SMEJUMP พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่คุณไว้ใจได้ เราให้บริการด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ทั้ง Google Ads, Facebook Ads, ออกแบบเว็บไซต์ และวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ

ปรึกษาฟรีและเริ่มต้นสร้างผลลัพธ์ทางการตลาดที่วัดผลได้กับทีมผู้เชี่ยวชาญของ SMEJUMP ได้ที่ www.smejump.com

แจก E-book Google VS Facebook ฟรี!!!

เพียงส่งโค้ดในหน้าเว็บนี้เข้ามาที่ไลน์

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!






    คุยกับเราทางไลน์

    เพิ่มเพื่อน