พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2569

พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่: พวกเขาหาข้อมูลที่ไหนก่อนตัดสินใจลงคะแนน?

ช่วงคริสต์มาส คนค้นหาอะไรใน Google

พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่: พวกเขาหาข้อมูลที่ไหนก่อนตัดสินใจลงคะแนน?

การเลือกตั้งในยุคดิจิทัลเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ได้รอดูแค่ป้ายหาเสียงข้างถนนหรือรับฟังสุนทรพจน์บนเวทีอีกต่อไป แต่พวกเขากลับหันไปค้นหาข้อมูลผ่านหน้าจอมือถือ เลื่อนดูโพสต์บน Social Media และดูวิดีโอบน YouTube ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกใคร สำหรับพรรคการเมืองและผู้สมัครที่ต้องการเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่ การเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการวางกลยุทธ์การตลาดการเมืองที่ได้ผล

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่คือใคร?

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่ในประเทศไทยมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากยุคก่อนอย่างชัดเจน พวกเขาคือกลุ่มคนที่เติบโตมาพร้อมกับอินเทอร์เน็ต ใช้สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือหลักในการรับข้อมูล และมีนิสัยในการตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนเชื่อ กลุ่มนี้ประกอบด้วยทั้ง Gen Z ที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้ง Gen Y หรือ Millennials ที่เป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงาน และแม้แต่ Gen X ที่ปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัล

สิ่งที่น่าสนใจคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มนี้ไม่ค่อยเชื่อโฆษณาแบบเดิมๆ ที่บอกว่าดีอย่างเดียว แต่พวกเขาต้องการเห็นความจริงใจ ต้องการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้สมัคร และต้องการมีส่วนร่วมในการสนทนา ไม่ใช่แค่รับฟังทางเดียว นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทำการตลาดพรรคการเมืองในยุคนี้จึงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีการสื่อสารอย่างสิ้นเชิง

แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้หาข้อมูล

1. Facebook: ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับคนไทย

แม้จะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ Facebook ยังคงเป็นช่องทางสำคัญที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้ติดตามข่าวสารการเมือง โดยเฉพาะกลุ่ม Gen X และ Gen Y ที่คุ้นเคยกับการใช้งาน Facebook มานาน พวกเขามักจะติดตาม Facebook Page ของพรรคการเมือง ผู้สมัคร และสื่อข่าวการเมือง เพื่ออัพเดตข้อมูลล่าสุด อ่านคอมเมนต์จากคนอื่น และแสดงความคิดเห็นของตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ Facebook มีประสิทธิภาพคือฟีเจอร์การแชร์และการแสดงความคิดเห็น ทำให้ข้อมูลสามารถกระจายไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การทำ Facebook Live ยังช่วยให้ผู้สมัครสามารถพูดคุยกับประชาชนแบบเรียลไทม์ สร้างความใกล้ชิดและตอบคำถามได้ทันที

2. TikTok: แพลตฟอร์มที่เข้าถึง Gen Z ได้ดีที่สุด

TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อต้องการเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้งและมีจำนวนมากขึ้นทุกปี คอนเทนต์บน TikTok มักเป็นวิดีโอสั้นที่ดูง่าย สนุก และเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งเหมาะกับการนำเสนอนโยบายที่ซับซ้อนให้เป็นเรื่องที่คนทั่วไปเข้าถึงได้

ผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จบน TikTok มักเป็นคนที่ไม่กลัวที่จะแสดงตัวตนที่เป็นธรรมชาติ ร่วมเทรนด์ต่างๆ และสร้างคอนเทนต์ที่ดูไม่เป็นทางการจนเกินไป การใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้มุกตลกที่เหมาะสม และมีความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น

3. YouTube: แพลตฟอร์มสร้าง Personal Brand ที่ทรงพลัง

YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่มีความสำคัญอย่างมากในการสร้าง Brand Awareness และ Personal Brand ให้กับผู้สมัคร เพราะเป็นพื้นที่ที่สามารถนำเสนอเนื้อหาที่มีความลึกซึ้งและยาวนานกว่าแพลตฟอร์มอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก การอธิบายนโยบายอย่างละเอียด หรือการแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้สมัคร

จากประสบการณ์ที่เราเคยทำงานกับผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพ เราได้ใช้ YouTube เป็นเครื่องมือหลักในการนำเสนอ Personal Brand และสร้างความเชื่อมโยงกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผลที่ได้คือวิดีโอมียอดวิวมากกว่า 1 ล้านวิว พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อมีกลยุทธ์ที่ดีและเนื้อหาที่สร้างสรรค์ YouTube สามารถเป็นช่องทางที่ทรงพลังในการเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมักใช้ YouTube เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้สมัคร ดูการสัมภาษณ์ หรือติดตามรายการพูดคุยทางการเมือง วิดีโอที่มีคุณภาพและนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจจะถูกแชร์ต่อไปยัง Social Media อื่นๆ ช่วยเพิ่มการกระจายข้อมูลได้อีกชั้นหนึ่ง

4. Google Search: จุดเริ่มต้นของการหาข้อมูล

เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครหรือนโยบายใดๆ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเปิด Google แล้วค้นหา พวกเขาจะพิมพ์คำค้นหาอย่าง “นโยบายของ [ชื่อผู้สมัคร]”, “ประวัติ [ชื่อพรรค]”, “ผลงานที่ผ่านมา [ชื่อผู้สมัคร]” หรือแม้แต่ “ข่าวลบเกี่ยวกับ [ชื่อผู้สมัคร]” เพื่อหาข้อมูลที่หลากหลายก่อนตัดสินใจ

การมีเว็บไซต์ที่ดี มีข้อมูลที่ครบถ้วน อัพเดตอยู่เสมอ และเป็นมิตรกับ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้การมีบทความข่าว สัมภาษณ์ หรือคอนเทนต์ออนไลน์ที่ปรากฏในหน้าแรกของ Google จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง

5. X (Twitter): แพลตฟอร์มสำหรับผู้ติดตามข่าวสารเชิงลึก

แม้จะมีผู้ใช้น้อยกว่า Facebook และ TikTok แต่ X กลับเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลสูงในหมู่กลุ่มผู้ที่สนใจการเมืองอย่างจริงจัง นักข่าว นักวิเคราะห์ และผู้ที่ต้องการติดตามข่าวสารแบบเรียลไทม์มักใช้ X เป็นแหล่งข้อมูลหลัก การแสดงความคิดเห็นบน X สามารถสร้างกระแสและถูกหยิบยกไปพูดถึงในสื่อข่าวได้ง่าย

พฤติกรรมการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่

การตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่ไม่เชื่อข้อมูลจากแหล่งเดียว พวกเขามีแนวโน้มที่จะตรวจสอบข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์ม หลายสื่อ และหลายมุมมองก่อนตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจเห็นโฆษณาบน Facebook ก่อน จากนั้นก็ไป Google เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ดูวิดีโอบน YouTube เพื่อฟังการสัมภาษณ์ และตรวจสอบความคิดเห็นของคนอื่นบน X หรือ TikTok

พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองและผู้สมัครต้องมีการสื่อสารแบบ Omnichannel คือต้องมีข้อมูลที่สอดคล้องกันและปรากฏอยู่ในทุกช่องทางที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้งาน ไม่ใช่โฟกัสแค่แพลตฟอร์มเดียว และนี่คือจุดที่บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยวางแผนกลยุทธ์แบบครบวงจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ User-Generated Content

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่เชื่อถือ Review และความคิดเห็นจากคนทั่วไปมากกว่าโฆษณาจากพรรคการเมืองเอง พวกเขาจะอ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ ดูวิดีโอรีวิวจากผู้ติดตาม และฟังความเห็นจาก Influencer ที่พวกเขาติดตาม การสร้าง User-Generated Content จึงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาดการเมืองในยุคนี้

พรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จมักเป็นพรรคที่สามารถสร้างชุมชนของผู้สนับสนุนที่กระตือรือร้นในการแชร์เรื่องราว สร้างคอนเทนต์ และชวนคนรอบข้างให้สนใจ การทำให้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ผู้ชม จะช่วยสร้างแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

ความต้องการเห็นความจริงใจและความโปร่งใส

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่เบื่อกับการโฆษณาชวนเชื่อแบบเก่าที่พูดแต่สิ่งที่ดีและซ่อนสิ่งที่ไม่ดี พวกเขาต้องการเห็นความจริงใจ ความโปร่งใส และความกล้าที่จะยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง ผู้สมัครที่สามารถแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ มีจุดอ่อนจุดแข็งเหมือนคนทั่วไป และพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา มักจะได้รับการตอบรับที่ดีกว่า

การทำ Behind the Scenes Content, Live Q&A Session, หรือการแชร์เรื่องราวส่วนตัวที่สัมพันธ์กับนโยบายที่นำเสนอ จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทำให้พวกเขารู้สึกว่ารู้จักผู้สมัครในระดับที่ลึกกว่าแค่นโยบาย

กลยุทธ์การตลาดการเมืองที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่

1. สร้าง Personal Brand ที่ชัดเจนและสอดคล้อง

การสร้าง Personal Brand ไม่ใช่แค่การทำให้ผู้สมัครดูดีหรือมีคนรู้จักเยอะ แต่เป็นการสื่อสารถึงตัวตนที่แท้จริง ค่านิยม และสิ่งที่ผู้สมัครยืนหยัดเพื่อมันอย่างสม่ำเสมอในทุกแพลตฟอร์ม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่สามารถจับได้ทันทีหากมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่พูดบน Facebook กับสิ่งที่แสดงบน TikTok

การมี Brand Guideline ที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องของ Tone of Voice, Visual Identity, และ Key Messages จะช่วยให้การสื่อสารมีความสม่ำเสมอและสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้การเลือกประเด็นที่ผู้สมัครมีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์จริงมาพูดถึง จะทำให้ Personal Brand แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากขึ้น

2. ใช้ Data-Driven Marketing ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย

การทำการตลาดพรรคการเมืองในยุคนี้ไม่สามารถพึ่งแค่สัญชาตญาณหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียวได้ การใช้ Data และ Analytics เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้สามารถสร้างคอนเทนต์และโฆษณาที่ตรงใจได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น กลุ่ม Gen Z บน TikTok อาจสนใจนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า ในขณะที่กลุ่ม Gen X บน Facebook อาจสนใจนโยบายเศรษฐกิจและการศึกษาของบุตรหลาน

การใช้เครื่องมืออย่าง Facebook Ads Manager, Google Analytics, และเครื่องมือวิเคราะห์โซเชียลมีเดียอื่นๆ จะช่วยให้เห็นว่ากลุ่มไหนมี Engagement สูง คอนเทนต์แบบไหนได้รับการตอบรับดี และช่วงเวลาไหนที่ผู้ใช้งานออนไลน์มากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

3. สร้าง Content ที่หลากหลายและเหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม

แต่ละแพลตฟอร์มมีลักษณะและผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน การนำเอาคอนเทนต์เดียวกันไปโพสต์ในทุกแพลตฟอร์มอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละช่องทาง เช่น วิดีโอสั้นสนุกสนานสำหรับ TikTok, วิดีโอยาวเชิงลึกสำหรับ YouTube, โพสต์ที่มี Infographic สวยงามสำหรับ Facebook, และ Thread ที่มีข้อมูลครบถ้วนสำหรับ X

นอกจากนี้ควรมีการผสมผสานระหว่างคอนเทนต์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ให้ความรู้ คอนเทนต์สร้างแรงบันดาลใจ คอนเทนต์ที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้สมัคร และคอนเทนต์ที่มี Call to Action ชัดเจน การมีความหลากหลายจะช่วยรักษาความสนใจของผู้ติดตามและดึงดูดกลุ่มคนที่แตกต่างกัน

4. ใช้ Influencer Marketing อย่างชาญฉลาด

การทำงานร่วมกับ Influencer ที่มีผู้ติดตามในกลุ่มเป้าหมายสามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงและสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างมาก แต่การเลือก Influencer ต้องระวังให้มาก ควรเลือก Influencer ที่มีค่านิยมสอดคล้องกับพรรคหรือผู้สมัคร มีความน่าเชื่อถือในหมู่ผู้ติดตาม และมี Engagement Rate ที่ดี ไม่ใช่แค่มีจำนวนผู้ติดตามเยอะ

นอกจากนี้การทำงานร่วมกับ Micro-Influencer หรือ Local Influencer ที่มีอิทธิพลในชุมชนท้องถิ่นอาจได้ผลดีกว่าการทำงานกับ Macro-Influencer ที่มีค่าตัวแพงและอาจดูห่างไกลจากคนทั่วไป การให้ Influencer มีอิสระในการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นสไตล์ของพวกเขาเอง แทนที่จะบังคับให้พูดตามสคริปต์ จะทำให้คอนเทนต์ดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือมากขึ้น

5. วัดผลและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

การทำการตลาดดิจิทัลมีข้อดีตรงที่สามารถวัดผลได้แบบเรียลไทม์และปรับกลยุทธ์ได้ทันที ไม่เหมือนสื่อแบบเดิมที่ต้องรอดูผลหลังจากจบแคมเปญ การติดตาม Metrics ที่สำคัญอย่าง Reach, Engagement Rate, Click-Through Rate, Conversion Rate, และ Sentiment Analysis จะช่วยให้เห็นว่าแคมเปญไหนได้ผล คอนเทนต์ไหนควรทำต่อ และส่วนไหนควรปรับปรุง

ควรมีการประชุมทีมอย่างสม่ำเสมอเพื่อรีวิวผลลัพธ์และแชร์ Insight ที่ได้จากข้อมูล การเปิดรับฟีดแบคจากผู้สนับสนุนและแม้แต่ผู้วิจารณ์ก็เป็นข้อมูลที่มีค่า เพราะจะช่วยให้เข้าใจว่าอะไรที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการได้ยินและอะไรที่พวกเขาไม่พอใจ

ทำไมการทำการตลาดการเมืองถึงต้องเปลี่ยน

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พวกเขาไม่ได้นั่งรอรับข้อมูลแบบทางเดียว แต่เป็นคนที่ลงมือค้นหาข้อมูลเอง เปรียบเทียบจากหลายช่องทาง และต้องการมีส่วนร่วมในการพูดคุย ถ้าพรรคการเมืองหรือผู้สมัครยังคิดว่าแค่ติดป้ายหาเสียงและจัดงานพบปะตามหมู่บ้านแล้วจะชนะใจคนได้ ก็อาจจะเป็นการคิดผิดไปแล้ว

การทำการตลาดการเมืองในยุคนี้ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจเทคโนโลยี การอ่านข้อมูลเชิงลึก ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ และสิ่งสำคัญที่สุดคือความจริงใจในการสื่อสาร ผู้สมัครที่มีทีมงานที่เข้าใจการทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลจริงๆ และรู้วิธีเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด จะมีโอกาสโดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับพรรคการเมืองหรือผู้สมัครที่ต้องการสร้าง Brand Awareness หรือวางกลยุทธ์การตลาดการเมืองแบบครบวงจร SME Jump พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนแคมเปญที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคใหม่ ด้วยประสบการณ์ที่เคยช่วยผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพสร้างการรับรู้ผ่าน YouTube จนได้วิวมากกว่า 1 ล้านครั้ง

การชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีงบเยอะกว่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครเข้าใจพวกเขามากกว่า ใครสื่อสารได้ตรงใจกว่า และใครสร้างความเชื่อมโยงที่แท้จริงได้มากกว่า การรู้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งค้นหาข้อมูลที่ไหนและอย่างไร คือจุดเริ่มต้นของการสร้างแคมเปญที่ได้ผลจริงในยุคดิจิทัล

แจก E-book Google VS Facebook ฟรี!!!

เพียงส่งโค้ดในหน้าเว็บนี้เข้ามาที่ไลน์

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!






    คุยกับเราทางไลน์

    เพิ่มเพื่อน