ข้อความค้นหา Google Ads
เพิ่มยอดขายด้วย Search Terms อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อความค้นหา Google Ads: เพิ่มยอดขายด้วย Search Terms อย่างมีประสิทธิภาพ
Search Terms คืออะไร แตกต่างจาก Keywords อย่างไร?
ในการทำโฆษณา Google Ads โดยเฉพาะรูปแบบ Search Ads หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญมาก แต่หลายคนยังไม่ให้ความสำคัญอย่างจริงจังคือ “Search Terms” หรือ “คำค้นหาจริง” ที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงไปใน Google
Search Terms แตกต่างจาก Keywords ที่เราตั้งไว้ในระบบโฆษณา เพราะ Keywords คือคำที่เราเลือกใช้เพื่อบอก Google ให้แสดงโฆษณา เช่น “รองเท้าวิ่ง” แต่ Search Term คือคำที่ผู้ใช้พิมพ์จริง เช่น “รองเท้าวิ่ง Nike ผู้ชาย เบอร์ 42 ราคาถูก” ซึ่งให้ข้อมูลลึกและตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากกว่า
หลักการแสดงโฆษณาของ Google Ads
ในการที่ Google Ads จะเลือกแสดงโฆษณาให้กับผู้ค้นหา ระบบจะทำการจับคู่ระหว่างคำค้นหาที่ผู้ใช้พิมพ์ลงใน Google กับคำหลัก (Keywords) ที่ผู้ลงโฆษณาได้ตั้งไว้ โดยมีชนิดของคีย์เวิร์ด (Keyword Match Types) ที่ส่งผลต่อความกว้างและความเฉพาะของการจับคู่อยู่ 3 รูปแบบหลัก ได้แก่:
1. Broad Match (การทำงานแบบกว้าง)
เป็นชนิดของคีย์เวิร์ดที่เปิดกว้างที่สุด Google สามารถจับคู่คำค้นหาที่มีความเกี่ยวข้องใกล้เคียง คำพ้อง หรือคำที่มีความหมายคล้ายกัน แม้ไม่ได้ตรงกับคีย์เวิร์ดที่เราตั้งไว้แบบเป๊ะ ๆ เช่น หากเราตั้งคีย์เวิร์ดว่า “รองเท้าวิ่ง” โฆษณาอาจไปแสดงกับคำว่า “รองเท้าออกกำลังกาย”, “ซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง” หรือแม้แต่ “รองเท้าสำหรับฟิตเนส”
ข้อดีของ Broad Match คือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง แต่ต้องระวังเพราะอาจมีการแสดงผลกับคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง และทำให้สิ้นเปลืองงบได้ง่าย
2. Phrase Match (การทำงานแบบวลี)
ใช้เมื่อต้องการให้โฆษณาแสดงกับคำค้นหาที่มีข้อความตรงกับคีย์เวิร์ดของเราแบบต่อเนื่อง โดยอาจมีคำอื่นแทรกด้านหน้า หรือด้านหลังได้ เช่น หากตั้งคีย์เวิร์ดว่า “รองเท้าวิ่งผู้ชาย” โฆษณาอาจแสดงเมื่อมีคนพิมพ์ว่า “ซื้อรองเท้าวิ่งผู้ชายราคาถูก” หรือ “รองเท้าวิ่งผู้ชาย Nike”
Phrase Match เป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อคุณต้องการความแม่นยำมากขึ้น โดยไม่จำกัดจนเกินไป
3. Exact Match (การทำงานแบบตรงทั้งหมด)
โฆษณาจะแสดงเฉพาะเมื่อมีคนค้นหาคำที่ตรงกับคีย์เวิร์ดของคุณแบบเป๊ะ ๆ หรือมีความใกล้เคียงมากที่สุด เช่น ตั้งไว้ว่า [รองเท้าวิ่งผู้ชาย] โฆษณาจะไม่แสดงถ้าคำค้นหาเป็น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง” หรือ “รองเท้าวิ่งมือสอง” ชนิดนี้เหมาะกับการควบคุมงบอย่างเข้มงวด และต้องการให้โฆษณาเข้าถึงเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตรงที่สุด
ดังนั้นการเลือกใช้คีย์เวิร์ดแต่ละแบบก็จะมีผลต้องข้อความค้นหาที่เข้ามา
ความเข้าใจผิดเรื่องการซื้อคีย์เวิร์ดที่ควรรู้
หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นใช้ Google Ads อาจเข้าใจผิดว่าการเลือกหรือซื้อคีย์เวิร์ด 1 คำ เช่น “รองเท้าวิ่ง” จะทำให้โฆษณาแสดงเฉพาะเวลาที่มีคนพิมพ์คำนั้นแบบตรงเป๊ะเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระบบของ Google ใช้หลักการจับคู่ตามชนิดของคีย์เวิร์ด (Match Types) ที่ผู้ลงโฆษณากำหนดไว้ ซึ่งทำให้คำค้นหาที่ทำให้โฆษณาแสดงนั้นมีความหลากหลายมากกว่าที่คิด
ตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกใช้ Broad Match คำค้นหาอาจเป็นคนละคำกันโดยสิ้นเชิง เช่น “รองเท้ากีฬา” หรือ “รองเท้าวิ่งลดราคา” ก็สามารถทำให้โฆษณาแสดงได้ แม้คุณจะไม่ได้ใส่คำเหล่านั้นลงไปก็ตาม
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมผู้ที่ทำโฆษณา Google Ads จึงต้องเข้ามาตรวจสอบรายงาน Search Terms อยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าโฆษณาของคุณกำลังแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายที่ตรงความสนใจจริง ๆ และไม่สูญเสียงบประมาณไปกับคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Search Terms?
การตรวจสอบ Search Terms เป็นประจำจะช่วยให้เราทราบว่า โฆษณาของเรากำลังแสดงให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากเราขายรองเท้าวิ่ง แต่พบว่ามี Search Terms อย่าง “ซ่อมรองเท้าวิ่ง” หรือ “รองเท้าแฟชั่น” แสดงว่าโฆษณาของเราอาจกำลังเข้าถึงกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมาย
นอกจากนั้น การคลิกที่เกิดจากคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง ยังทำให้เราสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ และยังลดอัตราการแปลงยอดขาย (Conversion Rate) อีกด้วย
วิธีใช้ Search Terms ปรับปรุงแคมเปญโฆษณา
การใช้ Negative Keywords
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการใช้ประโยชน์จาก Search Terms คือ การกำหนด Negative Keywords หรือคำที่ไม่ต้องการให้โฆษณาแสดง เช่น ถ้าเราไม่ขายของมือสอง และพบว่ามีผู้ค้นหาคำว่า “มือสอง” แล้วคลิกโฆษณา เราควรเพิ่มคำว่า “มือสอง” เป็น Negative Keyword เพื่อป้องกันไม่ให้โฆษณาแสดงกับคำนี้อีก เช่นเดียวกันกับคำว่า “ฟรี” หากเราขายสินค้าที่ไม่มีแจกฟรี คำนี้ก็ควรถูกตัดออกเช่นกัน
การทำ Negative Keyword ถือเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิบัติที่ Google Ads แนะนำอย่างเป็นทางการให้ผู้ลงโฆษณาทำเป็นประจำ (Best Practice) เพราะเป็นการช่วย Optimize แคมเปญให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทำให้โฆษณาเข้าถึงเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าหรือบริการจริง ๆ เท่านั้น
การตรวจสอบรายงาน Search Terms อย่างสม่ำเสมอ
แนะนำให้ดูรายงาน Search Terms อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือหากแคมเปญมีการเข้าชมสูง (High Traffic) ควรตรวจสอบทุกวัน เพราะ Search Terms ใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นตลอดเวลา การวิเคราะห์คำเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและสามารถปรับแคมเปญให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ต่อยอด Search Terms ในงานการตลาดด้านอื่น ๆ
ใช้ Search Terms กับ SEO (Search Engine Optimization)
Search Terms เป็นข้อมูลล้ำค่าสำหรับการวางแผน SEO เพราะคำเหล่านี้คือสิ่งที่คนค้นหาจริง หากเรานำคำเหล่านี้มาใช้สร้างบทความหรือหน้าเว็บไซต์ โอกาสที่เว็บไซต์ของเราจะติดอันดับบน Google ก็จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าในรายงานมีคำว่า “วิธีเลือกขนาดรองเท้าวิ่ง” แสดงว่ามีคนสนใจเรื่องนี้ หากคุณเขียนบทความให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ โดยใช้คำค้นหาเดียวกัน เว็บไซต์ของคุณก็มีโอกาสได้รับทราฟฟิกแบบ Organic โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเลย
ใช้ Search Terms กับ E-commerce และ Marketplace
สำหรับผู้ที่ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada หรือเว็บไซต์ E-commerce ส่วนตัว Search Terms สามารถช่วยในการตั้งชื่อสินค้า เขียนรายละเอียดสินค้า หรือแม้แต่ใช้ในการทำ SEO ภายใน Marketplace ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณรู้ว่าลูกค้าค้นหาว่า “กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คกันน้ำ 15 นิ้ว” คุณก็ควรตั้งชื่อสินค้าและเขียนคำอธิบายให้ตรงกับคำนี้มากที่สุด ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่สินค้าจะปรากฏในหน้าผลการค้นหา และช่วยเพิ่มยอดขายได้
ใช้ Search Terms กับ Content Marketing
Content Marketing เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถใช้ประโยชน์จาก Search Terms ได้อย่างชาญฉลาด
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขายเครื่องครัว เห็นว่าคนค้นหาคำว่า “หม้อทอดไร้น้ำมันยี่ห้อไหนดี” นั่นคือคำถามที่ผู้บริโภคต้องการคำตอบจริง ๆ คุณสามารถสร้างวิดีโอรีวิวหม้อทอดไร้น้ำมัน หรือเขียนบทความเปรียบเทียบสินค้าในเว็บไซต์หรือ Blog ได้เลย ซึ่งจะช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามาโดยตรง
Search Terms เปลี่ยนวิธีคิดของคุณเกี่ยวกับ Google Ads
หากคุณยังไม่เคยเปิดดูรายงาน Search Terms เลย ขอแนะนำให้คุณเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพราะข้อมูลในนั้นสามารถเปลี่ยนวิธีคิดของคุณในการยิงโฆษณาได้อย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณประหยัดงบ แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจกลุ่มลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
สรุป: ข้อความค้นหา Google Ads
ทำไม Search Terms ถึงสำคัญมากกับ Google Ads
- ให้ข้อมูลจริงจากผู้ใช้งาน ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค
- ใช้ปรับปรุงแคมเปญ ลดงบที่สูญเปล่า เพิ่ม Conversion Rate
- ช่วยวางแผน Negative Keywords เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงผลผิดกลุ่ม
- นำไปต่อยอดใน SEO, Marketplace และ Content Marketing ได้
- เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ฟรีและทรงพลัง หากใช้ให้เป็นประจำ
การทำ Google Ads ที่ดี ไม่ใช่แค่การใส่ Keywords แล้วปล่อยให้ระบบทำงาน แต่ต้องวิเคราะห์ ปรับปรุง และเข้าใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง Search Terms คือหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้คุณทำสิ่งเหล่านี้ได้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ
เริ่มต้นจากการดูรายงาน Search Terms วันนี้ แล้วคุณจะพบโอกาสมากมายที่เคยซ่อนอยู่ในข้อมูลเหล่านี้!
เกี่ยวกับ SME Jump
หากคุณต้องการความมั่นใจว่าแคมเปญ Google Ads ของคุณจะถูกบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด SME Jump คือพาร์ทเนอร์ที่คุณวางใจได้
SME Jump รับทำโฆษณา Google Ads สำหรับธุรกิจทุกขนาด และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Google Premier Partner ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นสถานะสูงสุดที่ Google มอบให้กับพาร์ทเนอร์ที่มีผลงานยอดเยี่ยม ทั้งในด้านประสิทธิภาพของแคมเปญ การบริหารงบประมาณ และความพึงพอใจของลูกค้า
บริการของ SME Jump ครอบคลุมตั้งแต่การวางกลยุทธ์โฆษณา วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ปรับโครงสร้างแคมเปญ ไปจนถึงการดูแลผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานและคำแนะนำในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: [email protected]
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ