Page Speed Insights
เครื่องมือตรวจจับความเร็ว Website
Page Speed Insights | เครื่องมือตรวจจับความเร็ว Website
ในยุคดิจิทัลที่เว็บไซต์เป็นศูนย์กลางของการเข้าถึงข้อมูลและบริการ ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และอันดับการค้นหาใน Google หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงในการวัดผลและปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์คือ PageSpeed Insights บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับตัวชี้วัดหลักที่ใช้โดยเครื่องมือนี้ พร้อมคำแนะนำสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ WordPress
การประเมิน Core Web Vitals
PageSpeed Insights ใช้ Core Web Vitals เป็นชุดตัวชี้วัดหลักในการประเมินประสิทธิภาพเว็บไซต์ ประกอบด้วย:
Largest Contentful Paint (LCP)
เป็นการวัดความเร็วในการแสดงผลเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บไซต์ ค่า LCP ที่ดีควรต่ำกว่า 2.5 วินาที เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์โหลดได้รวดเร็ว
Interaction to Next Paint (INP)
เป็นการวัดการตอบสนองของเว็บไซต์หลังจากผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์ เช่น การคลิกหรือกรอกข้อมูล ค่า INP ควรต่ำกว่า 200 มิลลิวินาที จึงจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
Cumulative Layout Shift (CLS)
เป็นตัวชี้วัดความเสถียรของหน้าเว็บ ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบต่างๆ บนหน้า ค่า CLS ที่แนะนำคือไม่เกิน 0.1 เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนผู้ใช้งาน
ตัวชี้วัดเพิ่มเติมจาก PageSpeed Insights
นอกจาก Core Web Vitals แล้ว เครื่องมือนี้ยังวัดปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อคุณภาพของเว็บไซต์ ดังนี้
ประสิทธิภาพ (Performance)
ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุด เพราะแสดงถึงความเร็วในการโหลดและประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์
การเข้าถึง (Accessibility)
วัดความสามารถในการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์สำหรับผู้ใช้กลุ่มต่างๆ รวมถึงผู้พิการ
แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices)
ประเมินคุณภาพของโค้ดเว็บไซต์ รวมถึงความปลอดภัยและมาตรฐานการพัฒนาเว็บ
SEO
วิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ได้รับการปรับแต่งเพียงพอสำหรับการติดอันดับในเครื่องมือค้นหาหรือไม่ หากคุณต้องการผู้เชี่ยวชาญในการช่วยปรับปรุง SEO โดยรวมของเว็บไซต์ อาจพิจารณาใช้บริการจาก บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ ที่มีประสบการณ์และผลงานรองรับ
คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ WordPress
ผู้ที่ใช้งาน WordPress สามารถปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยคำแนะนำต่อไปนี้:
การใช้ปลั๊กอินแคช (Caching Plugins)
ปลั๊กอินอย่าง WP Rocket และ LiteSpeed Cache ช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์โดยการเก็บหน้าเว็บในรูปแบบแคช ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องโหลดซ้ำจากเซิร์ฟเวอร์
ระบบ Cache ทำงานอย่างไร
ระบบ Cache จะทำการบันทึกข้อมูลของหน้าเว็บไซต์ไว้ในหน่วยความจำ เช่น บราวเซอร์ของผู้ใช้งานหรือเซิร์ฟเวอร์ เมื่อผู้ใช้งานเข้าชมเว็บไซต์ซ้ำ ระบบจะโหลดข้อมูลจากแคชแทนการร้องขอใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ ทำให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นและลดภาระการทำงานของระบบเบื้องหลัง
การเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ (Image Optimization)
ควรแปลงรูปภาพให้เป็นฟอร์แมต WebP ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า JPEG หรือ PNG และใช้ปลั๊กอินเช่น Magnify Image Optimization หรือ ShortPixel เพื่อบีบอัดไฟล์โดยไม่สูญเสียคุณภาพ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Squoosh.app ได้อีกด้วย
WebP คืออะไร
WebP คือฟอร์แมตรูปภาพที่ถูกพัฒนาโดย Google ซึ่งออกแบบมาให้มีขนาดไฟล์เล็กลงโดยไม่ลดคุณภาพของภาพอย่างชัดเจน ช่วยให้หน้าเว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นเมื่อใช้งานรูปภาพ WebP แทน JPEG หรือ PNG จึงเป็นฟอร์แมตที่แนะนำสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์
ใช้ AI วิเคราะห์และปรับปรุงรายงาน PageSpeed Insights
ผู้ดำเนินรายการแนะนำให้ใช้เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT หรือ Gemini เพื่อช่วยวิเคราะห์รายงาน PageSpeed Insights และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงเทคนิคที่ซับซ้อนได้อย่างตรงจุด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคมากนัก หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ AI เหล่านี้ สามารถลงเรียน คอร์สเรียน ChatGPT หรือ คอร์สเรียน Gemini ที่จัดทำขึ้นเพื่อผู้เริ่มต้นและนักการตลาดโดยเฉพาะ
สรุป
PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอันดับ SEO บน Google โดยการทำความเข้าใจตัวชี้วัดอย่าง LCP, INP และ CLS รวมถึงการใช้ปลั๊กอินแคช การแปลงรูปภาพเป็น WebP และการวิเคราะห์ด้วย AI ล้วนเป็นวิธีที่สามารถนำไปใช้ได้จริง การพัฒนาเว็บไซต์ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิคเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญสำหรับความสำเร็จทางธุรกิจออนไลน์ในระยะยาว
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!