ค่าโฆษณาออนไลน์หักภาษีได้ไหม

ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิง Google Ads หรือ Facebook Ads เป็นประจำ คุณรู้ไหมว่าค่าโฆษณาที่จ่ายไปทุกเดือนสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้?

ค่าโฆษณาออนไลน์หักภาษีได้ไหม

ค่าใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์ หักภาษีนิติบุคคลได้จริงไหม? คู่มือฉบับเจ้าของธุรกิจ

ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิง Google Ads หรือ Facebook Ads เป็นประจำ คุณรู้ไหมว่าค่าโฆษณาที่จ่ายไปทุกเดือนสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้? และที่สำคัญ ถ้าจัดการถูกต้อง คุณสามารถประหยัดเงินได้หลายหมื่นถึงหลายแสนบาทต่อปี

วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ ว่าทำไมการเก็บเอกสารค่าโฆษณาให้ถูกต้องถึงสำคัญ และจะช่วยลดต้นทุนการยิงแอดของคุณได้อย่างไร

ค่าโฆษณาออนไลน์หักภาษีได้จริงหรือ?

คำตอบคือ ได้แน่นอน สำหรับบริษัทนิติบุคคลทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด

ค่าโฆษณาทั้ง Google Ads และ Facebook Ads ถือเป็น “ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ” ที่สามารถนำมาหักลดกำไรสุทธิก่อนคำนวณภาษีได้ตามกฎหมาย เหมือนกับค่าเช่าออฟฟิศ ค่าเงินเดือนพนักงาน หรือค่าน้ำค่าไฟ

ทำไมต้องสนใจเรื่องนี้?

ลองคิดดูง่ายๆ นะครับ ถ้าบริษัทคุณยิงแอดเดือนละ 100,000 บาท ปีหนึ่งก็เป็นเงิน 1.2 ล้านบาท

ถ้าคุณจัดการเอกสารถูกต้อง สามารถนำค่าใช้จ่าย 1.2 ล้านนี้มาหักภาษีได้ ซึ่งจะช่วยลดภาษีนิติบุคคล (อัตรา 20%) ได้ถึง 240,000 บาท

แต่ถ้าคุณไม่มีเอกสารครบหรือจัดการไม่ถูกต้อง เงิน 240,000 บาทนี้ก็จะหายไปเปล่าๆ

ข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยที่สุด (และทำให้เสียเงินเปล่า)

จากประสบการณ์ทำงานกับ SMEs เจ้าของธุรกิจออนไลน์หลายร้อยราย นี่คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมากๆ:

1. ไม่เก็บใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี

หลายคนคิดว่าแค่มี statement จากบัตรเครดิตก็พอ แต่ความจริงคือ ไม่พอครับ

กรมสรรพากรต้องการเอกสารที่ระบุรายละเอียดชัดเจน เช่น

  • ใบแจ้งหนี้จาก Google หรือ Facebook
  • ใบเสร็จรับเงิน (Receipt) ที่ระบุชื่อบริษัทของคุณ
  • หลักฐานการโอนเงินที่ match กับใบเสร็จ

วิธีแก้: ตั้งเตือนตัวเองทุกครั้งที่จ่ายค่าโฆษณา ให้ดาวน์โหลดใบเสร็จจาก Google Ads หรือ Facebook Ads Manager ทันที แล้วเก็บไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน

2. ใช้บัญชีส่วนตัวจ่ายค่าโฆษณา

อีกปัญหาใหญ่คือเอาบัตรเครดิตส่วนตัวมาจ่ายค่าโฆษณาของบริษัท ตอนยื่นภาษีก็เอาใบแจ้งยอดบัตรส่วนตัวไปให้บัญชี

ปัญหาคืออะไร? ใบแจ้งยอดบัตรเครดิตส่วนตัวไม่มีชื่อบริษัท สรรพากรจึงไม่ยอมรับเป็นค่าใช้จ่ายของธุรกิจ

วิธีแก้:

  • ขอออกบัตรเครดิตนิติบุคคล (Corporate Card) สำหรับจ่ายค่าโฆษณาโดยเฉพาะ
  • หรือถ้าจำเป็นต้องใช้บัตรส่วนตัว ให้บริษัทโอนเงินคืนให้คุณพร้อมออกใบสำคัญรับเงิน เพื่อให้มีหลักฐานว่าเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท

3. ไม่แยกค่าโฆษณาส่วนตัวกับของบริษัท

บางคนใช้บัญชี Google Ads หรือ Facebook Ads Manager เดียวกันทั้งยิงแอดส่วนตัวและของบริษัท ทำให้ตอนทำบัญชีแยกไม่ออกว่าค่าใช้จ่ายไหนเป็นของบริษัท

วิธีแก้: แยก Business Manager / Ads Account ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก หรืออย่างน้อยต้องมี report แยกรายเดือนว่ายอดไหนเป็นของบริษัท

4. ลืมเก็บหลักฐานการโอนเงิน

มีใบเสร็จแต่ไม่มีหลักฐานว่าโอนเงินจริง หรือโอนเงินแล้วแต่จำนวนเงินไม่ตรงกับใบเสร็จ นี่ก็เป็นปัญหาได้

วิธีแก้: Screenshot หรือ export statement การโอนเงินทุกครั้ง แล้วเก็บไว้คู่กับใบเสร็จ

เอกสารที่ต้องเก็บ (Checklist สำหรับคนยิงแอด)

ถ้าไม่อยากให้เสียเงินเปล่า เอกสารพวกนี้ต้องมีให้ครบทุกเดือน:

สำหรับ Google Ads:

  • ✅ ใบแจ้งหนี้ (Invoice) จาก Google Asia Pacific Pte. Ltd.
  • ✅ หลักฐานการชำระเงิน (Bank Statement หรือ Credit Card Statement)
  • ✅ Campaign Report ประจำเดือน (เก็บไว้เป็นหลักฐานว่าใช้เงินไปกับแคมเปญไหนบ้าง)

วิธีดาวน์โหลด: เข้า Google Ads > เลือก Tools & Settings > Billing > Documents > เลือกเดือนที่ต้องการ > Download

สำหรับ Facebook Ads / Instagram Ads:

  • ✅ Invoice หรือ Receipt จาก Facebook (Meta)
  • ✅ หลักฐานการชำระเงิน
  • ✅ Ads Report แยกตาม Campaign

วิธีดาวน์โหลด: เข้า Facebook Ads Manager > Billing > Transactions > เลือกเดือนที่ต้องการ > Download Receipt

เอกสารเสริม (ควรมี):

  • สัญญาจ้างทำโฆษณา (ถ้าจ้างเอเจนซี่ยิงแอดแทน)
  • รายละเอียดของแคมเปญ (เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ)

เรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ต้องรู้ (สำคัญมาก!)

นี่คือข้อที่หลายคนมักสับสนและพลาดไป โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ

ถ้าคุณยิงแอดเอง ผ่านบัญชี Google Ads หรือ Facebook Ads ของคุณเอง (ไม่ได้จ้างเอเจนซี่) จะไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ทำไมถึงไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย?

เพราะคุณจ่ายเงินไปให้บริษัทต่างประเทศโดยตรง (Google Ireland, Facebook Ireland หรือ Meta Platforms) ซึ่งเป็นการจ่ายเงินข้ามประเทศ ไม่ใช่การจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการในประเทศไทย

ตามกฎหมายภาษีไทย ภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ:

  • จ่ายเงินให้บุคคลหรือนิติบุคคลในประเทศไทย
  • เป็นค่าบริการที่อยู่ในข่ายต้องหักภาษี เช่น ค่าเช่า ค่าโฆษณา ค่าบริการวิชาชีพ

ตัวอย่างที่ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย:

  • จ่าย Google Ads โดยตรงจากบัญชีของคุณ → ไม่ต้องหัก
  • จ่าย Facebook Ads โดยตรงจากบัญชีของคุณ → ไม่ต้องหัก

ตัวอย่างที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย:

  • จ้างเอเจนซี่ไทยยิงแอด → ต้องหักภาษี 2% (สำหรับค่าบริการยิงแอด)
  • จ้าง Freelancer ไทยทำ Content → ต้องหักภาษี 3%
  • เช่าพื้นที่จากคนไทย → ต้องหักภาษี 5%

ข้อดีของการยิงแอดเอง (ด้านภาษี)

  1. ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย – ไม่ต้องออก หนังสือรับรองการหักภาษี (ภ.ง.ด. 53) ให้ผู้ให้บริการ
  2. ขั้นตอนน้อยลง – แค่เก็บใบแจ้งหนี้และหลักฐานการจ่ายเงินก็เพียงพอ
  3. ไม่ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย – ประหยัดเวลาในการทำเอกสารและยื่นภาษีรายเดือน

ข้อควรระวัง

แม้จะไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่คุณยังคงต้องเก็บเอกสารครบถ้วนเพื่อนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายตอนคำนวณภาษีนิติบุคคลประจำปี

และที่สำคัญ คุณต้องยื่นภาษีเองตามที่จะอธิบายในหัวข้อถัดไป

การยื่น ภ.พ. 36 สำหรับค่าโฆษณาออนไลน์

หลายคนคิดว่าเอกสารค่าโฆษณาที่ได้มาจาก Google หรือ Facebook จะมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% แนบมาด้วยอยู่แล้ว ต่ความจริงคือไม่มี ในกรณีนิติบุคคลที่ใส่เลขประจำตัวผู้เสียภาษีในระบบโฆษณา ยอดค่าโฆษณาจะไม่มีภาษี

ทำไมไม่มี VAT 7%?

เพราะ Google และ Facebook เป็นบริษัทต่างประเทศที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT ในประเทศไทย การให้บริการโฆษณาจึงไม่มี VAT คิดมาในใบแจ้งหนี้

แต่ตามกฎหมายผู้ใช้บริการ (คุณ) มีหน้าที่ต้องคำนวณและยื่นเสีย VAT 7% เองผ่านแบบ ภ.พ. 36

ภ.พ. 36 คืออะไร?

ภ.พ. 36 (ภาษีมูลค่าเพิ่ม พิเศษ 36) คือแบบฟอร์มที่นิติบุคคลผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ต้องยื่นเมื่อ:

  • ซื้อบริการจากต่างประเทศที่ใช้ในประเทศไทย
  • ผู้ให้บริการไม่ได้จดทะเบียน VAT ในไทย

ตัวอย่างบริการที่ต้องยื่น ภ.พ. 36:

  • ค่าโฆษณา Google Ads, Facebook Ads
  • Software Subscription จากต่างประเทศ (Adobe, Mailchimp, Shopify)
  • Cloud Storage (Dropbox, Google Drive แบบเสียเงิน)
  • บริการ Hosting จากต่างประเทศ

วิธีคำนวณ VAT ที่ต้องยื่น

สูตรง่ายๆ: ยอดค่าบริการ x 7/107

ตัวอย่าง:

  • ค่า Google Ads 50,000 บาท → VAT ที่ต้องยื่น = 50,000 x 7/107 = 3,271 บาท
  • ค่า Facebook Ads 30,000 บาท → VAT ที่ต้องยื่น = 30,000 x 7/107 = 1,963 บาท
  • รวม VAT ที่ต้องจ่ายในเดือนนั้น = 5,234 บาท

กำหนดยื่น ภ.พ. 36

ต้องยื่นและชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เช่น:

  • ค่าโฆษณาเดือนมกราคม → ยื่น ภ.พ. 36 ภายใน 15 กุมภาพันธ์
  • ค่าโฆษณาเดือนกุมภาพันธ์ → ยื่น ภ.พ. 36 ภายใน 15 มีนาคม

วิธีการยื่น

มี 2 วิธี:

  1. ยื่นออนไลน์ – ผ่านระบบ e-filing ของกรมสรรพากร (สะดวกและรวดเร็ว)
  2. ยื่นด้วยตนเอง – นำเอกสารไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่บริษัทจดทะเบียน

เอกสารประกอบการยื่น

  • แบบฟอร์ม ภ.พ. 36
  • สำเนาใบแจ้งหนี้ (Invoice) จาก Google หรือ Facebook
  • หลักฐานการชำระเงิน

ข้อควรระวัง

  1. ยื่นช้าโดนปรับ – ปรับ 200 บาท + ดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน
  2. ลืมยื่นโดนปรับหนัก – ปรับเพิ่ม 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ
  3. ข้อมูลผิดพลาด – ตรวจสอบยอดเงินให้ถูกต้องก่อนยื่นทุกครั้ง

VAT นี้นำกลับมาได้ไหม?

ได้ครับ ถ้าบริษัทคุณจดทะเบียน VAT อยู่แล้ว ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่จ่ายไปนี้สามารถนำมาหักภาษีซื้อได้ในแบบ ภ.พ. 30 (ปกติของทุกเดือน)

หมายความว่า ภาระจริงๆ ของคุณคือศูนย์ เพียงแต่ต้องดำเนินการยื่นและชำระก่อน แล้วค่อยหักกลับในเดือนเดียวกัน

สรุปง่ายๆ:

  • ยื่น ภ.พ. 36 จ่าย VAT 7% ให้กรมสรรพากร
  • ยื่น ภ.พ. 30 นำ VAT 7% นั้นมาหักภาษีซื้อ
  • ผลลัพธ์: จ่ายไปจ่ายมา ได้คืนทั้งหมด (แต่ต้องทำ paperwork)

ทางออกถ้าไม่อยากยุ่งยาก

ถ้ารู้สึกว่าการยื่น ภ.พ. 36 ทุกเดือนยุ่งยากเกินไป มี 2 ทางเลือก:

  1. ให้บัญชีดำเนินการให้ – มอบหมายให้ผู้ทำบัญชีของคุณจัดการทั้งหมด (แนะนำ)
  2. ใช้บริการเอเจนซี่ – บางเอเจนซี่จะดำเนินการยื่นภาษีให้ในราคาค่าโฆษณาที่มี VAT รวมอยู่แล้ว คุณแค่จ่ายเงินเดียวไม่ต้องกังวล

ทำอย่างไรถ้ายิงแอดผ่านเอเจนซี่?

หลายบริษัทเลือกใช้บริการบริษัทรับทำโฆษณา Google Ads แทนที่จะยิงเอง ซึ่งก็มีข้อดีคือได้ผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหารแคมเปญ และที่สำคัญคือจัดการเรื่องเอกสารให้สะดวกขึ้น

เมื่อจ้างเอเจนซี่ เอกสารที่ต้องเก็บจะเป็น:

  • ใบเสนอราคา (Quotation)
  • ใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) จากเอเจนซี่
  • ใบเสร็จรับเงิน
  • รายงานผลการยิงแอดประจำเดือน
  • สัญญาการให้บริการ

ข้อดีคือเอกสารจะเป็นภาษาไทย มีชื่อบริษัทคุณระบุชัดเจน และครบถ้วนตามมาตรฐานภาษีไทย ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารจากต่างประเทศ

แต่ระวัง: ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอเจนซี่ออกเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย และแยกค่า Service Fee กับค่า Ad Spend ให้ชัดเจน

ตัวอย่างการคำนวณง่ายๆ ว่าประหยัดได้เท่าไหร่

สูตรคร่าวๆ สำหรับบริษัทนิติบุคคลทั่วไป (ภาษี 20%):

จำนวนเงินที่ประหยัดได้ = ค่าโฆษณาต่อปี x 20%

ตัวอย่าง:

  • ค่าโฆษณา 50,000 บาท/เดือน = 600,000 บาท/ปี → ประหยัดภาษีได้ประมาณ 120,000 บาท
  • ค่าโฆษณา 100,000 บาท/เดือน = 1,200,000 บาท/ปี → ประหยัดภาษีได้ประมาณ 240,000 บาท
  • ค่าโฆษณา 200,000 บาท/เดือน = 2,400,000 บาท/ปี → ประหยัดภาษีได้ประมาณ 480,000 บาท

นี่คือเงินจริงๆ ที่สามารถเอาไปลงทุนต่อ หรือเพิ่ม Budget ยิงแอดได้อีก ไม่ใช่แค่ตัวเลขในกระดาษ

Tips เพิ่มเติมสำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์

1. ตั้งระบบเก็บเอกสารตั้งแต่วันแรก

อย่ารอให้ถึงสิ้นปีค่อยมาจัดการ ใช้ Google Drive หรือ Dropbox สร้างโฟลเดอร์แยกตามเดือน เช่น:

📁 Ads Expenses 2024
  📁 มกราคม
    - Google Ads Invoice
    - Facebook Ads Invoice
    - Payment Proof
  📁 กุมภาพันธ์
    ...

2. ใช้ Software ช่วยจัดการ

มีโปรแกรมบัญชีออนไลน์หลายตัวที่รองรับการอัพโหลดและจัดเก็บเอกสารภาษี เช่น Flowaccount, Smartbiz หรือโปรแกรมบัญชีอื่นๆ ที่ใช้งานง่ายสำหรับ SME

3. Review ทุกเดือน ไม่ใช่ทุกปี

แทนที่จะมารวบรวมเอกสารทั้งปีตอนสิ้นปี ให้ check ทุกเดือนว่าเอกสารครบหรือยัง จะได้แก้ไขทันถ้ามีอะไรผิดพลาด

4. ปรึกษาบัญชีอย่างน้อยปีละครั้ง

แม้บทความนี้จะให้ข้อมูลพื้นฐาน แต่แต่ละบริษัทก็มีสถานการณ์ไม่เหมือนกัน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณวางแผนภาษีได้ดีขึ้น

5. อย่าพยายามโกง

เห็นบางคนพยายาม “แต่งเอกสาร” หรือเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาปะปนกับของบริษัท นี่คือความเสี่ยงมหาศาล

ถ้าสรรพากรตรวจพบ นอกจากต้องจ่ายภาษีคืนแล้ว ยังมีเบี้ยปรับและดอกเบี้ย ไม่คุ้มแน่นอน

มาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คุณน่าจะเห็นภาพแล้วว่าการจัดการค่าโฆษณาให้ถูกต้องนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและมีระบบ

ขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำได้เลยตอนนี้:

  1. ตรวจสอบย้อนหลัง – เช็คว่าเดือนที่ผ่านมามีเอกสารครบหรือยัง ถ้ายังไม่ครบรีบดาวน์โหลดเลย (Google และ Facebook เก็บประวัติย้อนหลังได้)
  2. แยกบัญชีส่วนตัวกับบริษัท – ถ้ายังใช้บัตรส่วนตัวยิงแอดอยู่ เริ่มวางแผนออกบัตรนิติบุคคล หรือสร้างระบบการเบิกคืนที่ชัดเจน
  3. ตั้งระบบเก็บเอกสาร – สร้างโฟลเดอร์ ตั้งเตือนทุกต้นเดือนให้ดาวน์โหลดเอกสาร
  4. คุยกับบัญชี – เอาบทความนี้ไปปรึกษาบัญชีของคุณ ถามว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมไหม

จำไว้ว่า ทุกบาทที่ยิงแอดไปคือเงินลงทุน และการจัดการเอกสารให้ถูกต้องคือการทำให้เงินลงทุนนั้นคุ้มค่าที่สุด

อย่าปล่อยให้เงินหลายแสนบาทหายไปเปล่าๆ เพียงเพราะขี้เกียจเก็บเอกสารนะครับ


คำเตือน: บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเพื่อความเข้าใจเบื้องต้น ไม่ใช่คำแนะนำทางบัญชีหรือกฎหมายภาษี กรณีเฉพาะเจาะจงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีอากร

แจก E-book Google VS Facebook ฟรี!!!

เพียงส่งโค้ดในหน้าเว็บนี้เข้ามาที่ไลน์

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!






    คุยกับเราทางไลน์

    เพิ่มเพื่อน