Google Ads vs Facebook Ads

อะไรเหมาะกับธุรกิจ SME ไทยมากกว่ากัน?

Marketing Psychology

Google Ads vs Facebook Ads: อะไรเหมาะกับ SME ไทยมากกว่า?

หลายธุรกิจมักเริ่มด้วยคำถามนี้ก่อนจัดงบโฆษณา คำตอบไม่ได้มีแบบเดียว แต่ขึ้นกับ เป้าหมาย แฟนเพจ/เว็บไซต์ที่มีอยู่ ข้อมูลลูกค้า (1st‑party data) และงบประมาณ บทความนี้สรุปให้ตัดสินใจง่ายขึ้น พร้อมชี้จุดที่ควรใช้คู่กันเพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า


ภาพรวมแบบย่อ

  • Google Ads: จับ “ความต้องการที่กำลังเสิร์ชอยู่” (high intent) เหมาะกับการเก็บลีด/ยอดขายทันที คุมคีย์เวิร์ดได้ละเอียด มี Search, Shopping, Performance Max
  • Facebook Ads (Meta Ads): สร้างการรับรู้ ค้นพบสินค้าใหม่ (discovery) และรีมาร์เก็ตติ้งได้ครอบคลุม มีฟอร์แมตหลากหลาย (Feed/Stories/Reels/Lead Ads)

แนวคิดง่าย ๆ: “มีคนกำลังหาเราอยู่ไหม?” ถ้ามี → เริ่มที่ Google; ถ้าอยาก “พาคนใหม่ ๆ มารู้จักเรา” → เริ่มที่ Facebook


เป้าหมายที่ถนัดของแต่ละแพลตฟอร์ม

เมื่อควรเลือก Google Ads

  • ต้องการ ลีด/ยอดขายแบบเจตนาสูง จากคนที่เสิร์ชคำเฉพาะทาง
  • มีสินค้า/บริการที่ลูกค้ารู้คำเรียกชัด เช่น “กู้จำนำทะเบียนรถ”, “เรียน IELTS ออนไลน์”
  • ต้องการวัดผลปลายทางในเว็บไซต์อย่างชัดเจน (เช่น ส่งฟอร์ม/สั่งซื้อ)

หากธุรกิจของคุณต้องการเจาะกลุ่มที่มีเจตนาซื้อชัดเจน เช่น ค้นหาคำเฉพาะทางผ่าน Google Search การเลือกใช้ รับทำ Google Ads จะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่พร้อมตัดสินใจได้ทันที

เมื่อควรเลือก Facebook Ads

  • ต้องการ สร้างการรับรู้/กระตุ้นความสนใจ ต่อสินค้าที่คนอาจยังไม่เสิร์ชหา
  • เน้น ครีเอทีฟ ภาพ/วิดีโอ เพื่อเล่าเรื่องแบรนด์และข้อแตกต่าง
  • ต้องการสะสมกลุ่มผู้ชมเพื่อทำ Remarketing และ Lookalike

สำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้และเล่าเรื่องแบรนด์ด้วยครีเอทีฟ การใช้ รับทำ Facebook Ads เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ถ้ายิงแล้วคอนเวิร์ตไม่ดี อาจเป็นเพราะเลือกแพลตฟอร์มไม่เหมาะ ลองอ่านบทความ “ยิงแอดแล้วขายไม่ได้ ทำอย่างไรดี” เพื่อวิเคราะห์คอขวดที่แท้จริง


การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย: Intent vs Audience

  • Google: เลือกด้วย คีย์เวิร์ด/ความตั้งใจ + สัญญาณเสริม (Location, Schedule, Audience Signals ใน PMax)
  • Facebook: เลือกด้วย ความสนใจ พฤติกรรม และลักษณะประชากร + Custom/Lookalike Audiences จากลูกค้าที่เรามี

เคล็ดลับ: ถ้ามีฐานข้อมูลลูกค้า (อีเมล/เบอร์/ผู้ซื้อซ้ำ) ให้อัปโหลดทำ Custom Audience แล้วแตก Lookalike บน Facebook; ส่วน Google ใช้ Customer Match และสัญญาณผู้ชมใน PMax เพื่อช่วยระบบเรียนรู้เร็วขึ้น


ครีเอทีฟและหน้า Landing Page

  • Google: เน้น ข้อความ ให้ตรงคีย์เวิร์ดและเจตนาของผู้เสิร์ช; หน้า Landing Page ต้องตอบคำถามทันที (ข้อเสนอ, ราคา, รีวิว, ปุ่มติดต่อ)
  • Facebook: เน้น ภาพ/วิดีโอ เล่า pain point → benefit → social proof → call‑to‑action ให้ครบในไม่กี่วินาที

หากคลิกมาแล้วไม่คอนเวิร์ต ตรวจสอบ ความเร็ว/โครงสร้างหน้า ด้วย PageSpeed Insights หรือศึกษาเพิ่มเติมจากบทความ “กลยุทธ์การทำ Landing Page สำหรับโฆษณา”


งบประมาณและการวัดผล (ต้องทำให้ชัดตั้งแต่วันแรก)

  • ค่าใช้จ่ายแปรผันตามอุตสาหกรรมและคุณภาพครีเอทีฟ/หน้าเว็บไซต์
  • เทียบผลด้วย Cost per Conversion, Conversion Rate, ROAS/CPA, ไม่ใช่แค่ CPC หรือ CPM
  • ตั้ง Conversion Tracking และเชื่อม GA4 ให้ครบ แล้วทดสอบ A/B อย่างมีระบบ

ดูแนวทางแก้แคมเปญที่ไม่คุ้มได้ในบทความ “ยิงแอดแล้วขายไม่ได้ ทำอย่างไรดี”


ตัวอย่างการเลือกให้เหมาะกับธุรกิจ (Scenario‑based)

  • ต้องการลีดด่วน (B2B/บริการเฉพาะทาง): เริ่มที่ Google Search/PMax แล้วตามด้วย Facebook Remarketing
  • สินค้าใหม่/แบรนด์ใหม่: เริ่มที่ Facebook (Video/Reels + Lead/Website) เพื่อสร้างความต้องการ แล้วเก็บดีมานด์ด้วย Google Search
  • ธุรกิจความงาม/คอร์สเรียน: ใช้ Facebook ทำครีเอทีฟเล่าเคส/รีวิว + แบบฟอร์ม Lead; ติดตามด้วย Google เก็บผู้ที่เริ่มเสิร์ชชื่อแบรนด์/บริการ
  • อสังหาริมทรัพย์/ของราคาสูง: ทำ Full‑Funnel: Facebook (Awareness/Consideration) → Google (Search/Brand/Competitor) → Remarketing สองฝั่ง

ใช้คู่กันจะคุ้มที่สุด (Full‑Funnel Strategy)

  1. Facebook สร้างดีมานด์และเก็บผู้ชม → 2) Google เก็บตั้งใจซื้อ → 3) Remarketing ปิดดีล
  • วัดผลรวมผ่าน GA4 และ Conversion Tracking
  • ใช้ UTM ให้แยกแคมเปญ/ครีเอทีฟได้ชัด
  • เตรียม Landing Page ตามเจตนาของแต่ละแคมเปญ (คนที่เสิร์ชกับคนที่เพิ่งรู้จักแบรนด์ ต้องเห็นคอนเทนต์ต่างกัน)

หลายธุรกิจ SME ประสบความสำเร็จจากการผสมผสาน รับทำ Google Ads และ รับทำ Facebook Ads เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการรับรู้และปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพในทุกช่วงของฟันเนล


Checklist: เลือกอะไรดีในตอนนี้?

  • เป้าหมายหลักคืออะไร? (ลีดด่วน/การรับรู้/เปิดตัวสินค้า)
  • มีงบพอสำหรับครีเอทีฟวิดีโอ/ภาพแรง ๆ ไหม? ถ้ามี → เพิ่มน้ำหนักให้ Facebook
  • มีคำค้นเฉพาะ/ดีมานด์กำลังเสิร์ชอยู่ไหม? ถ้ามี → เพิ่มน้ำหนักให้ Google
  • มี 1st‑party data (ลูกค้าเก่า/ผู้ลงทะเบียน) ไหม? ถ้ามี → ใช้ Lookalike/Customer Match
  • ทีมพร้อมวัดผลเชิงลึกหรือยัง? ถ้าไม่ → เริ่มที่ชุดเล็ก วัดผลให้แม่น ก่อนขยาย

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย และวิธีเลี่ยง

  • เลือกแพลตฟอร์มไม่ตรงเจตนาของลูกค้า → กลับไปตั้งเป้าหมาย–เจตนา (intent) ให้ชัด
  • ไม่ตั้ง Conversion Tracking/GA4 → ทำให้ตัดสินใจจากตัวชี้วัดที่ไม่ชี้ผลลัพธ์จริง
  • Landing Page ช้า/สับสน → ปรับความเร็ว โฟกัสข้อเสนอและ CTA ชัดเจน
  • ใช้ปุ่ม Boost แทนการตั้งค่าแคมเปญเต็มรูปแบบ → คุมกลยุทธ์และการวัดผลได้น้อย
  • ไม่ทดสอบอะไรเลย → ตั้งแผน A/B Test ครีเอทีฟ กลุ่มเป้าหมาย และหน้า Landing Page

สรุป: เลือกให้ตรงเจตนา และใช้ร่วมกันอย่างฉลาด

Google และ Facebook ไม่ได้เป็นคู่แข่งที่ต้องเลือกข้างเสมอไป แต่เป็น คู่พลัง ที่เสริมกันได้ดี เริ่มจากแพลตฟอร์มที่ตรงเจตนาซื้อที่สุด แล้วใช้แพลตฟอร์มอีกฝั่งสร้างดีมานด์หรือปิดการขายให้คุ้มงบที่สุด

ถ้าต้องการพาร์ทเนอร์ที่ช่วยวางงบ แบ่งบทบาทแพลตฟอร์ม และวัดผลแบบโปร่งใส SME Jump (Premier Google Partner Thailand) พร้อมช่วยออกแบบกลยุทธ์ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ



แจก E-book Google VS Facebook ฟรี!!!

เพียงส่งโค้ดในหน้าเว็บนี้เข้ามาที่ไลน์

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!






    คุยกับเราทางไลน์

    เพิ่มเพื่อน