คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Facebook Ads
20 คำถามที่ถูกถามบ่อยเกี่ยวกับ Facebook Ads สำหรับธุรกิจ SME
20 คำถามที่พบเกี่ยวกับ Facebook Ads
สำหรับธุรกิจ SME การทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Facebook Ads เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการสร้างการรับรู้และการเข้าถึงลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ บทความนี้ได้รวบรวม 20 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับการยิงแอด Facebook ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการทำ Optimization พร้อมคำตอบเชิงลึก ตั้งแต่การตั้งงบประมาณ, การใช้ Meta Pixel, ไปจนถึงการทำ A/B Testing เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถบริหารจัดการงบโฆษณาได้อย่างคุ้มค่าและบรรลุเป้าหมายยอดขายที่วางไว้
1. Facebook Ads คืออะไร และแตกต่างจาก Google Ads อย่างไร?
คำตอบ:
Facebook Ads คือการโฆษณาแบบชำระเงินบนแพลตฟอร์มของ Meta (Facebook, Instagram, Messenger, Audience Network) จุดเด่นของ Facebook Ads คือการใช้ “ข้อมูลความสนใจและพฤติกรรม” เพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กำลังค้นหาสินค้าของคุณอยู่ก็ตาม
ความแตกต่างหลักกับ Google Ads คือ:
- Facebook Ads: เน้นการผลักดัน (Push Marketing) เพื่อสร้างความต้องการและดึงดูดความสนใจ
- Google Ads: เน้นการดึงดูด (Pull Marketing) เพื่อตอบสนองความต้องการที่มีอยู่แล้ว
SME Jump ให้บริการจัดการโฆษณาอย่างครบวงจร โดยวิเคราะห์ว่าธุรกิจของคุณควรเน้นการสร้างความต้องการด้วย Facebook Ads หรือเน้นการตอบสนองความต้องการด้วย Google Ads เป็นหลัก
2. การบูสต์โพสต์ (Boost Post) กับการสร้างแคมเปญใน Ads Manager แตกต่างกันอย่างไร?
คำตอบ:
การบูสต์โพสต์ (Boost Post) เป็นทางลัดที่ง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการเพิ่มยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) แต่การสร้างแคมเปญผ่าน Ads Manager คือวิธีการที่เป็นมืออาชีพ
Ads Manager ช่วยให้คุณสามารถกำหนดวัตถุประสงค์แคมเปญที่เฉพาะเจาะจง (เช่น ยอดขาย, การสร้างลูกค้าเป้าหมาย, ข้อความเข้า) กำหนดกลุ่มเป้าหมายเชิงลึก และควบคุมการเสนอราคาได้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่แม่นยำ
โดยปกติ Ads Manager จะทำบน Notebook หรือ คอมพิวเตอร์ ทำผ่านบราวเซอร์ เช่น Google Chrome ซึ่งจะทำให้คุณเข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆในการยิงแอดที่ละเอียดกว่า การบูสต์โพสต์ซึ่งทำผ่านมือถือ
3. ควรตั้งงบประมาณเริ่มต้นในการทำ Facebook Ads เท่าไหร่ดี?
คำตอบ:
การเริ่มต้นที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงมาก สิ่งสำคัญคือการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการเรียนรู้ของระบบ (Learning Phase) ในแต่ละชุดโฆษณา (Ad Set)
สำหรับ SME มือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นที่ 200–500 บาทต่อวันต่อชุดโฆษณา เพื่อรวบรวมข้อมูลในช่วงทดลอง (Testing) และค่อยๆ ปรับเพิ่มเมื่อพบชุดโฆษณาที่ทำงานได้ดี การทดลองตลาดอย่างชาญฉลาดเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Facebook Ads หรือถ้าต้องการจ้าง บริษัทรับทำ Facebook Ads สามารถรันแอดกับ SME Jump ในงบโฆษณาเริ่มต้นที่ 15,000 บาทต่อเดือน และไม่ต้องทำสัญญาระยะยาว สามารถเลือกทำแบบเดือนต่อเดือน เพื่อดูผลลัพธ์เบื้องต้นก่อน
4. จะทำอย่างไรถ้าโฆษณาถูกปฏิเสธ (Ad Rejection)?
คำตอบ:
โฆษณาถูกปฏิเสธมักเกิดจากการละเมิดนโยบายโฆษณาของ Meta สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ การใช้ภาพก่อน-หลัง (Before & After) การกล่าวอ้างผลลัพธ์ที่เกินจริง การใช้ข้อความที่ระบุลักษณะส่วนบุคคลมากเกินไป หรือเนื้อหาต้องห้าม
ขั้นตอนที่ถูกต้องคือ การตรวจสอบอีเมลแจ้งเตือนของ Meta เพื่อทำความเข้าใจนโยบายที่ถูกละเมิด และแก้ไขชิ้นงานโฆษณาให้สอดคล้อง หากคุณแน่ใจว่าไม่ได้ละเมิด สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันที
5. Meta Pixel (Facebook Pixel) คืออะไร และจำเป็นต้องติดตั้งหรือไม่?
คำตอบ:
Meta Pixel คือโค้ดขนาดเล็กที่คุณต้องติดตั้งบนเว็บไซต์ของคุณเพื่อติดตามกิจกรรมของผู้เยี่ยมชม เช่น การเข้าชมหน้าสินค้า การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า หรือการซื้อสินค้า
การติดตั้ง Pixel เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยให้คุณสามารถวัดผลคอนเวอร์ชันได้อย่างถูกต้อง สร้างกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง (Custom Audiences) สำหรับการทำโฆษณาซ้ำ (Remarketing) และให้ข้อมูลแก่ AI ของ Meta ในการปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณา
6. Campaign Objective (วัตถุประสงค์แคมเปญ) มีความสำคัญอย่างไร?
คำตอบ:
วัตถุประสงค์แคมเปญเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการตั้งค่าโฆษณา การเลือกวัตถุประสงค์ที่ถูกต้อง (เช่น การรับรู้แบรนด์, การเข้าชมเว็บไซต์, ยอดขาย) จะบอกให้ AI ของ Meta ทราบว่าคุณต้องการผลลัพธ์แบบไหน และระบบจะพยายามแสดงโฆษณาให้แก่ผู้ที่มีแนวโน้มที่จะดำเนินการตามวัตถุประสงค์นั้นๆ มากที่สุด
หากเลือกวัตถุประสงค์ผิด โฆษณาของคุณอาจมีราคาถูกแต่ไม่ได้ยอดขายตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดพื้นฐานที่ SME Jump จะช่วยแนะนำให้คุณเลือกได้อย่างเหมาะสม
7. Custom Audience (กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง) คืออะไร?
คำตอบ:
Custom Audience คือกลุ่มเป้าหมายที่คุณสร้างขึ้นจากข้อมูลที่คุณมีอยู่ เช่น:
- รายชื่อลูกค้า (Customer List)
- ผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ (Website Visitors)
- ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจหรือวิดีโอของคุณ (Engagers)
การใช้ Custom Audience เป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำโฆษณาซ้ำ (Remarketing) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่สูงกว่าการยิงโฆษณาหาคนที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์ของคุณ
8. Lookalike Audience (กลุ่มเป้าหมายคล้ายคลึง) คืออะไร และสร้างอย่างไร?
คำตอบ:
Lookalike Audience คือกลุ่มเป้าหมายที่ Meta สร้างขึ้นโดยการค้นหาผู้ใช้ที่มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ ความสนใจ และพฤติกรรม “คล้ายคลึง” กับ Custom Audience ที่คุณป้อนให้ (Source Audience)
คุณสามารถสร้าง Lookalike Audience ได้จากกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้ว หรือจากผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณบ่อยๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับลูกค้าปัจจุบันมากที่สุด
9. ควรใช้โฆษณาแบบรูปภาพ (Image Ads) หรือแบบวิดีโอ (Video Ads) ดีกว่ากัน?
คำตอบ:
ไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่แนวโน้มปัจจุบัน โฆษณาแบบวิดีโอมีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมในระยะแรก เนื่องจากมีความเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม โฆษณาแบบรูปภาพก็ยังคงทำงานได้ดีเยี่ยมหากมีการออกแบบที่สะดุดตาและข้อความที่ชัดเจน วิธีที่ดีที่สุดคือการทำ A/B Testing โดยใช้ชิ้นงานโฆษณาหลายรูปแบบพร้อมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงาน SME Jump ดำเนินการให้ลูกค้าอยู่เสมอ
10. A/B Testing (Split Testing) ใน Facebook Ads คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
คำตอบ:
A/B Testing คือกระบวนการทดสอบตัวแปรโฆษณาเพียงหนึ่งตัวแปรในแต่ละครั้ง (เช่น ทดสอบภาพโฆษณา 2 แบบ, หรือทดสอบหัวข้อโฆษณา 2 แบบ) เพื่อระบุว่าตัวแปรใดที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อค่าใช้จ่ายที่จ่ายไป
การทำ A/B Testing เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการใช้ข้อมูลจริงเพื่อตัดสินใจ ไม่ใช่ใช้การคาดเดา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
11. ค่าใช้จ่ายหลักๆ ใน Facebook Ads (CPC, CPM, CPA) คืออะไร?
คำตอบ:
- CPC (Cost Per Click): ค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของคุณหนึ่งครั้ง
- CPM (Cost Per Mille): ค่าใช้จ่ายต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง (Mille) ใช้เพื่อวัดต้นทุนการเข้าถึง
- CPA (Cost Per Acquisition): ค่าใช้จ่ายต่อการได้มาซึ่งผลลัพธ์ (Conversion) หนึ่งครั้ง เช่น ต่อการซื้อหนึ่งครั้ง หรือต่อการสร้างลูกค้าเป้าหมายหนึ่งราย
SME Jump ให้ความสำคัญกับการติดตาม CPA เป็นหลัก เพราะมันเป็นตัวชี้วัดกำไรและประสิทธิภาพการลงทุนที่แท้จริงของธุรกิจ
12. Ad Frequency (ความถี่ในการแสดงโฆษณา) คืออะไร และควรควบคุมอย่างไร?
คำตอบ:
Ad Frequency คือจำนวนเฉลี่ยที่โฆษณาของคุณถูกแสดงต่อผู้ใช้หนึ่งคนในช่วงเวลาหนึ่ง หากค่านี้สูงเกินไป (มักจะมากกว่า 3-5) ผู้ใช้อาจรู้สึกรำคาญหรือเบื่อหน่าย ทำให้เกิด “Ad Fatigue” และส่งผลให้ CTR ลดลง และ CPA สูงขึ้น
วิธีแก้ไขคือ การปรับเปลี่ยนชิ้นงานโฆษณาใหม่ (Creative Refresh) หรือขยายขนาดกลุ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อลดความถี่ในการแสดงผล
13. ทำไม CTR (Click-Through Rate) ใน Facebook Ads จึงต่ำ?
คำตอบ:
CTR ต่ำบ่งชี้ว่าโฆษณาของคุณไม่ดึงดูดความสนใจ หรือไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย สาเหตุหลักอาจเกิดจาก:
- ชิ้นงานโฆษณาไม่น่าสนใจ: รูปภาพหรือวิดีโอที่ใช้ไม่สะดุดตาพอ
- ข้อความโฆษณาไม่ชัดเจน: ไม่สื่อสารคุณค่าของสินค้าอย่างรวดเร็วและกระชับ
- กลุ่มเป้าหมายกว้างเกินไป: โฆษณาไปแสดงต่อผู้ที่ไม่สนใจสินค้าของคุณจริงๆ
14. ควรเลือกตำแหน่งการจัดวางโฆษณา (Placement) แบบไหนดี?
คำตอบ:
Meta อนุญาตให้โฆษณาแสดงผลได้หลายตำแหน่ง (เช่น Facebook Feed, Instagram Stories, Reels, Messenger) แนะนำให้เริ่มต้นด้วยการเลือก Automatic Placements (การจัดวางอัตโนมัติ) เพื่อให้ AI ของ Meta สามารถกระจายโฆษณาไปยังตำแหน่งที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดในต้นทุนต่ำที่สุด
ทีมงาน SME Jump จะเข้ามากำหนดตำแหน่งการจัดวางแบบ Manual (กำหนดเอง) ก็ต่อเมื่อเรามีข้อมูลชัดเจนแล้วว่าตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งทำให้เกิดต้นทุนสูงอย่างไม่สมเหตุสมผล
15. Facebook Ads ใช้ได้ผลสำหรับธุรกิจ B2B (Business-to-Business) หรือไม่?
คำตอบ:
ใช้ได้ผล แม้ว่า Facebook/Instagram จะถูกมองว่าเป็นแพลตฟอร์ม B2C แต่ก็ยังสามารถสร้างลูกค้าเป้าหมาย B2B ที่มีคุณภาพสูงได้ โดยใช้กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายที่เน้น “ตำแหน่งงาน” “อุตสาหกรรม” หรือ “กลุ่มความสนใจทางธุรกิจ” ที่เฉพาะเจาะจง
นอกจากนี้ การใช้แคมเปญ Lead Generation (การสร้างลูกค้าเป้าหมาย) บน Facebook ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วในการรวบรวมข้อมูลติดต่อสำหรับทีมขาย
16. จะทำอย่างไรให้โฆษณาไม่เกิดอาการ Ad Fatigue (ความเหนื่อยล้าของโฆษณา)?
คำตอบ:
Ad Fatigue เกิดขึ้นเมื่อโฆษณาเดิมถูกแสดงซ้ำๆ จนผู้ใช้เริ่มเบื่อ วิธีป้องกันคือการ “หมุนเวียนชิ้นงานโฆษณา” (Creative Refresh) อย่างสม่ำเสมอ
- สัปดาห์ที่ 1-2: รันชุดโฆษณาเดิม
- สัปดาห์ที่ 3-4: เปิดชุดโฆษณาใหม่โดยเปลี่ยนภาพและวิดีโอทั้งหมด
การที่ SME Jump มีการวางแผน Content Calendar และ Creative Testing อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าโฆษณาจะมีความสดใหม่อยู่เสมอ
17. เหตุใดโฆษณาจึงเข้าสู่ช่วง Learning Phase (ช่วงเรียนรู้) นานมาก?
คำตอบ:
Learning Phase คือช่วงที่ AI ของ Meta กำลังเรียนรู้ว่าควรแสดงโฆษณาของคุณต่อใครเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากช่วงนี้ยาวนานเกินไป มักเกิดจาก:
- งบประมาณน้อยเกินไป: งบประมาณไม่เพียงพอต่อการสร้าง 50 คอนเวอร์ชันต่อสัปดาห์
- กลุ่มเป้าหมายเล็กเกินไป: ข้อมูลไม่เพียงพอให้ระบบหาคนที่ใช่
- ปรับเปลี่ยนแคมเปญบ่อยเกินไป: การปรับเปลี่ยนบ่อยๆ (เช่น เปลี่ยนงบประมาณ, เปลี่ยนรูปภาพ) จะทำให้ระบบต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ทุกครั้ง
18. Facebook Business Manager (ตัวจัดการธุรกิจ) คืออะไร และต่างจาก Ads Manager อย่างไร?
คำตอบ:
- Facebook Business Manager (ตัวจัดการธุรกิจ): เป็นศูนย์กลางการจัดการสินทรัพย์ทางธุรกิจทั้งหมด เช่น เพจ, บัญชีโฆษณา, Pixel, แคตตาล็อกสินค้า และการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงให้แก่ทีมงานหรือเอเจนซี่
- Facebook Ads Manager (ตัวจัดการโฆษณา): เป็นเครื่องมือย่อยที่อยู่ภายใต้ Business Manager ใช้สำหรับสร้าง จัดการ และตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาแต่ละแคมเปญโดยเฉพาะ
SME Jump แนะนำให้ผู้ที่ใช้ Facebook ในการทำธุรกิจ ควรสร้าง Business Manager เพื่อความปลอดภัยและการจัดการสิทธิ์ที่เป็นระบบ และสะดวกเมื่อต้องทำงานร่วมกับเอเจนซี่
19. จะทราบได้อย่างไรว่าโฆษณา Facebook Ads ของเราคุ้มค่ากับการลงทุน (ROI)?
คำตอบ:
การวัด ROI ที่แท้จริงต้องอาศัยการคำนวณ ROAS (Return on Ad Spend) ซึ่งคือมูลค่ารายได้ที่ได้จากการโฆษณาหารด้วยค่าใช้จ่ายโฆษณา
สูตรคำนวณ ROAS คือ: มูลค่า Conversion (รายได้) หารด้วย ค่าใช้จ่ายโฆษณา
คุณต้องทราบว่าสินค้าของคุณมีกำไรเท่าไหร่ และตั้งเป้าหมาย ROAS ที่สูงกว่าจุดคุ้มทุน (Break-Even ROAS) หากคุณมีปัญหาในการคำนวณและตั้งเป้าหมาย ทีมงาน SME Jump พร้อมให้คำปรึกษาในการสร้างตัวชี้วัดที่ถูกต้อง
20. อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ Facebook Ads มีราคาแพงขึ้น?
คำตอบ:
ราคาโฆษณาที่สูงขึ้นมักเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้:
- การแข่งขันในตลาดสูงขึ้น: ในช่วงเทศกาลหรือแคมเปญใหญ่ คู่แข่งจะเสนอราคาสูงขึ้น
- Ad Fatigue: ความถี่สูงเกินไป ทำให้ CTR ลดลงและส่งผลให้ราคาต่อผลลัพธ์สูงขึ้น
- Ad Relevance ต่ำ: ชิ้นงานโฆษณาและกลุ่มเป้าหมายไม่สอดคล้องกัน
- กลุ่มเป้าหมายถูกครอบครอง (Audience Overlap): โฆษณาของคุณและคู่แข่งพยายามเข้าถึงคนกลุ่มเดียวกันมากเกินไป
การทำ Facebook Ads ให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ที่รอบด้าน, การติดตามผลผ่าน Meta Pixel และการปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูแลและจัดการโฆษณาเพื่อเพิ่ม ROAS ให้สูงสุด SME Jump พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ในการขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลของคุณ
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!



