รูปแบบโฆษณา Google Ads มีอะไรบ้าง

Google Ads มีอะไรบ้าง ที่คุณควรรู้

Google Ads มีอะไรบ้าง : รูปแบบโฆษณา ข้อดี ข้อด้อย และคำแนะนำสำหรับมือใหม่

หลายคนอาจคิดว่า Google Ads คือโฆษณาที่แสดงบน Google Search เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว Google Ads มีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายและแสดงผลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ Google และพันธมิตร ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น Google Ads เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ที่ทรงพลังที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาปรับใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนได้อย่างแม่นยำ

SME Jump ซึ่งเป็นเอเจนซี่โฆษณาที่เชี่ยวชาญในการทำโฆษณา Google Ads มีประสบการณ์ในการช่วยธุรกิจปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าอย่างสูงสุด ในบทความนี้ เราจะมาดูรูปแบบโฆษณาต่าง ๆ ของ Google Ads จุดเด่น ข้อด้อย เปรียบเทียบกับ Facebook Ads และคำแนะนำสำหรับมือใหม่ที่เริ่มใช้ Google Ads

รูปแบบโฆษณาที่สามารถทำได้ใน Google Ads

1. Search Ads (โฆษณาแบบค้นหา)

– ลักษณะเด่น: โฆษณานี้แสดงในรูปแบบตัวอักษร โดยสามารถเลือกแสดงผลตามคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าพิมพ์บนหน้า Google Search ซึ่งโฆษณาจะปรากฏอยู่เหนือผลการค้นหาปกติ ทำให้เพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้มากขึ้น
– ข้อดี: เป็นรูปแบบโฆษณาที่มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายโดยการเจาะหาลูกค้าที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าที่มีเจตนาซื้อสูง เนื่องจากแสดงผลเฉพาะเมื่อมีการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
– ข้อด้อย: โฆษณาใน Google Ads เป็นรูปแบบการประมูลที่ต้องแข่งขันกับผู้ลงโฆษณารายอื่น ๆ ที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้มีการแข่งขันสูงในคำหลักยอดนิยม ส่งผลให้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นและมีต้นทุนที่สูงขึ้น

2. Display Ads (โฆษณาแบบแสดงภาพ)

– ลักษณะเด่น: โฆษณาในรูปแบบภาพหรือแบนเนอร์ที่แสดงบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ในเครือข่ายของ Google เช่น เว็บไซต์ไทยรัฐ เดลินิวส์ และ sanook.com เป็นต้น ซึ่งทำให้การเข้าถึงผู้ชมเป็นไปอย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพ
– ข้อดี: ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขวาง อีกทั้งยังมีการแสดงผล (impression) ที่สูงในงบโฆษณาที่เท่ากัน เมื่อเทียบกับโฆษณารูปแบบอื่น ๆ
– ข้อด้อย: การแสดงผลอาจไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากเท่าโฆษณาแบบค้นหา เนื่องจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบนี้มักเป็นการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบกว้าง เช่น ความสนใจ (Affinity), ตามเนื้อหาเว็บไซต์ (Topics) หรือการเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการให้โฆษณาแสดงผล (Placements)

3. Video Ads (โฆษณาแบบวิดีโอ)

– ลักษณะเด่น: แสดงบนแพลตฟอร์ม YouTube และเว็บไซต์พันธมิตร โดยมีหลากหลายรูปแบบ เช่น In-stream และ Bumper Ads คุณสามารถนำวิดีโอของคุณไปแสดงในช่อง YouTube ต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตร เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมกลุ่มใหม่ ๆ และเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ข้อดี: การใช้วิดีโอช่วยสื่อสารข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพและดึงดูดความสนใจ อีกทั้งยังสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการดูวิดีโอ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ธุรกิจของคุณยังไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างความประทับใจและเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้อย่างมาก
– ข้อด้อย: การผลิตวิดีโออาจมีค่าใช้จ่ายสูงในการจัดหาอุปกรณ์ และใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการทำคอนเทนต์วิดีโอ

4. Google Shopping Ads (โฆษณาสินค้า)

– ลักษณะเด่น: เหมาะสำหรับผู้ขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ Ecommerce ที่มีระบบตะกร้าสินค้า ซึ่งสามารถให้ลูกค้าทำการซื้อสินค้าผ่านระบบตะกร้าได้อย่างสะดวก โดยโฆษณาจะปรากฏพร้อมภาพและข้อมูลผลิตภัณฑ์ในหน้าผลการค้นหา
– ข้อดี: ช่วยให้ผู้ใช้เห็นสินค้าและราคาได้ทันที เพิ่มโอกาสในการคลิกซื้อ โฆษณาในรูปแบบภาพยังช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ และเมื่อคลิกที่โฆษณา ผู้ใช้จะถูกนำไปยังหน้าสินค้าทันที ทำให้กระบวนการซื้อเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกยิ่งขึ้น
– ข้อด้อย: การสร้างแคมเปญโฆษณามีความซับซ้อน และจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่เป็นระบบ Ecommerce ที่สามารถจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

5. App Promotion Ads (โฆษณาโปรโมทแอปพลิเคชัน)

– ลักษณะเด่น: โฆษณาประเภทนี้เน้นส่งเสริมการดาวน์โหลดแอปและการใช้งาน เหมาะสำหรับองค์กรที่มีแอปพลิเคชันและต้องการเพิ่มยอดดาวน์โหลด ซึ่งสามารถใช้โฆษณารูปแบบนี้ได้ทั้งบนแพลตฟอร์ม iOS และ Android เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานได้อย่างครอบคลุม
– ข้อดี: ช่วยเพิ่มจำนวนการติดตั้งและกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
– ข้อด้อย: มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการตั้งค่าและการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งสำหรับระบบ iOS จะต้องมีขั้นตอนการวางโค้ดและติดตั้ง SDK เพิ่มเติม ซึ่งอาจมีความยุ่งยากมากกว่าการตั้งค่าในระบบ Android

6. Local Service Ads (โฆษณาบริการท้องถิ่น)

– ลักษณะเด่น: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ให้บริการในพื้นที่ โดยโฆษณาจะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังสามารถทำโฆษณาให้แสดงบน Google Maps เพื่อเน้นให้คนเข้ามาที่ร้านค้าของคุณได้โดยตรง เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าที่อยู่ใกล้เคียงและต้องการบริการที่สะดวกและรวดเร็ว
– ข้อดี: ช่วยเพิ่มการติดต่อจากลูกค้าที่อยู่ใกล้สถานที่ให้บริการ
– ข้อด้อย: การแข่งขันในตลาดท้องถิ่นอาจทำให้โฆษณาแสดงผลไม่เต็มที่ อีกทั้งยังจำเป็นต้องปักหมุดร้านค้าบน Google Maps โดยการเปิดบัญชี Google My Business เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาร้านค้าได้อย่างง่ายดายและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

จุดเด่นของ Google Ads

การเข้าถึงลูกค้าที่กว้างขวาง: เครือข่ายโฆษณาของ Google ครอบคลุมหลากหลายแพลตฟอร์ม รวมถึงเว็บไซต์พันธมิตรที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
ความสามารถในการปรับแต่งโฆษณา: เนื่องจาก Google Ads มีโฆษณาหลายรูปแบบ ทำให้สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับคอนเทนต์ที่ต้องการนำเสนอ ผู้ลงโฆษณาสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายและกำหนดคำหลักที่ต้องการใช้ได้อย่างละเอียด
รายงานและการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ครบครัน: Google Ads เป็นโฆษณาออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่สามารถแสดงข้อมูลและวัดผลได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลคอนเวอร์ชัน Google Ads มาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้สามารถติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง

ข้อด้อยของ Google Ads

ค่าใช้จ่ายสูงสำหรับคำหลักที่มีการแข่งขันสูง: สำหรับธุรกิจที่ต้องการโฆษณาคำหลักที่มีความนิยม ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) อาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีของโฆษณา Search Ads ซึ่งมักจะมีราคาค่าโฆษณาสูงกว่าโฆษณารูปแบบอื่น ๆ เนื่องจากต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งการแสดงผลที่ดีบนหน้า Google Search
ความซับซ้อนในการตั้งค่า: การสร้างและปรับแต่งแคมเปญ Google Ads อาจมีความซับซ้อนมากกว่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Facebook, TikTok และ LINE ซึ่งต้องการความรู้และทักษะในการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้การลงโฆษณามีประสิทธิภาพสูงสุด

เปรียบเทียบ Google Ads กับ Facebook Ads

คุณสมบัติ Google Ads Facebook Ads
วัตถุประสงค์หลัก การเข้าถึงลูกค้าที่ค้นหาผลิตภัณฑ์และบริการ สำหรับโฆษณา Search Ads และเข้าถึงความสนใจสำหรับโฆษณารูปแบบอื่นๆของ Google Ads การเข้าถึงผู้ใช้ผ่านการระบุความสนใจและพฤติกรรม
รูปแบบโฆษณา Search, Display, Video, Shopping ภาพ, วิดีโอ, สไลด์โชว์, สตอรี่
การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ใช้คำหลักและพฤติกรรมการค้นหา หรือใช้ความสนใจ ขึ้นอยู่กับรูปแบบโฆษณาบน Google Ads ใช้ข้อมูลประชากร ความสนใจ และพฤติกรรม
ค่าโฆษณา โฆษณา Search Ads มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโฆษณารูปแบบอื่นๆ และสามารถกำหนดงบโฆษณาต่อวันได้ มีความยืดหยุ่น และปรับตามงบโฆษณาต่อวันได้

Google Ads เหมาะกับใคร

Google Ads โดยเลือกใช้ Search Ads เหมาะกับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าที่มีเจตนาชัดเจน เช่น ธุรกิจบริการ สินค้าเฉพาะทาง หรือธุรกิจในพื้นที่ ที่ต้องการให้ลูกค้าเข้ามาที่ร้านค้า

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

1. เริ่มต้นด้วยงบประมาณที่เหมาะสม: ใช้งบประมาณที่ไม่มากเกินไปเพื่อทดสอบแคมเปญในช่วงแรก โดยปกติแนะนำเริ่มต้นวันละ 500 บาท
2. ศึกษาคีย์เวิร์ดที่ต้องการอย่างละเอียด: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คำหลักเช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำโฆษณา
3. ติดตามและปรับปรุงแคมเปญ: ตรวจสอบผลลัพธ์ของแคมเปญและทำการปรับแต่งแคมเปญอยู่เสมอ เนื่องจากโฆษณาอยู่ในรูปแบบประมูลแข่งขันกับผู้ลงโฆษณารายอื่นๆ ดังนั้นเราต้องปรับแต่งโฆษณาให้มีคุณภาพอยู่เสมอ เพื่อควบคุมต้นทุนของค่าโฆษณา
4. ทำ A/B Testing: ทดลองโฆษณาหลายแบบเพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด หรืออาจจะลองทำโฆษณารูปแบบอื่นๆนอกเหนือจาก Search Ads เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ๆ
5. ศึกษาเกี่ยวกับ SEO และ Quality Score: เพิ่มคะแนนคุณภาพเพื่อทำให้ค่าโฆษณาถูกลงและมีโอกาสแสดงผลบ่อยขึ้น นอกจากงบโฆษณา คะแนนคุณภาพก็มีผลต่อการแสดงผลบนหน้า Search Ads

สรุป: Google Ads มีอะไรบ้าง

Google Ads เป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสำหรับการโฆษณาออนไลน์ ไม่ได้มีเพียง Search Ads อย่างเดียว แต่ยังมีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย ทั้งภาพและวิดีโอ ซึ่งสามารถใช้เป็นโฆษณาเสริม หรือเป็นทางเลือกโฆษณา นอกเหนือจากแพลตฟอร์มที่คุณทำอยู่ การใช้โฆษณา Google Ads ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งการโฆษณาให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่ต้องการนำเสนอ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม การศึกษาและการวางแผนอย่างละเอียดจึงมีความสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุน.

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ