วิธีทำ A/B Testing
ยิงแอด Facebook ไม่เวิร์ก ลองเปลี่ยนแค่ 1 อย่าง แล้วปล่อยให้ข้อมูลตัดสิน
วิธีทำ A/B Testing : ลองเปลี่ยนแค่ 1 อย่าง แล้วปล่อยให้ข้อมูลตัดสิน
ทำไมการยิงแอดที่เคยเวิร์ก ถึงไม่เวิร์กอีกต่อไป?
หากคุณเคยมีแคมเปญโฆษณาบน Facebook ที่ทำยอดขายได้ดี แต่ช่วงนี้กลับเงียบเหงา ทั้งที่คุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย — นี่คือสัญญาณที่บอกว่า อาจถึงเวลาต้อง “เรียนรู้ใหม่” อีกครั้ง
แต่ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ ไม่ต้องล้างแคมเปญทิ้งทั้งหมด และไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาให้บานปลาย วิธีที่มีประสิทธิภาพและใช้ต้นทุนน้อยที่สุดคือการทำ วิธีทำ A/B Testing หรือที่เรียกว่า “ทดสอบตัวแปรเดียวแล้วดูผลลัพธ์” [อ่านเพิ่มเติม: วิธีทำโฆษณา Facebook ให้ได้ผล]
A/B Testing คืออะไร?
A/B Testing คือกระบวนการที่เราสร้างโฆษณา 2 เวอร์ชันที่เหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นแค่ “ตัวแปรเดียว” ที่เราต้องการทดสอบ เช่น ภาพโฆษณา, ข้อความ, ปุ่ม CTA หรือแม้แต่กลุ่มเป้าหมาย แล้วปล่อยให้ทั้งสองเวอร์ชันรันออกไปพร้อมกัน เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นตัวบอกว่า “ตัวแปรไหนเวิร์กกว่ากัน”
ทำไมต้องแค่ตัวแปรเดียว?
เพราะถ้าเปลี่ยนหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ภาพ + ข้อความ + กลุ่มเป้าหมาย คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า “อะไร” กันแน่ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของแคมเปญนั้นจริง ๆ
ตัวอย่าง: เคสขายรองเท้าวิ่ง
ลองนึกภาพว่าคุณขายรองเท้าวิ่ง โฆษณาเดิมใช้ภาพรองเท้าวางเดี่ยว ๆ บนพื้นขาว พร้อมข้อความแนะนำคุณสมบัติสินค้า ยอดคลิก (CTR) ก็มีบ้าง แต่ยอดซื้อกลับนิ่ง คุณอาจจะตั้งคำถามว่า:
- คนไม่อินกับภาพ?
- ข้อความดูเป็นทางการเกินไป?
- หรือกลุ่มเป้าหมายกว้างไป?
หากคุณปรับทุกอย่างพร้อมกัน คุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าอะไรคือ “คอขวด” ของแคมเปญนั้น
แต่ถ้าคุณใช้ A/B Test เพื่อเปรียบเทียบแค่ภาพ กับทุกอย่างคงเดิม ผลลัพธ์จะชัดเจนทันที
วิธีทำ A/B Testing อย่างถูกต้อง
1. สร้างแคมเปญ A และ B
ให้ทุกอย่างเหมือนกัน:
- วัตถุประสงค์ของแคมเปญ (Conversion, Traffic, Engagement ฯลฯ)
- ประเภทของแคมเปญ (Manual, Advantage+ ฯลฯ)
- งบประมาณ
- กลุ่มเป้าหมาย
- ระยะเวลารันโฆษณา
- Landing Page หรือหน้าปลายทาง
ยกเว้นแค่ “ตัวแปรที่ต้องการทดสอบ” เท่านั้น เช่น
- เวอร์ชัน A ใช้ภาพสินค้าเดี่ยว
- เวอร์ชัน B ใช้ภาพไลฟ์สไตล์ที่มีคนใส่รองเท้าวิ่งจริง ๆ
2. ปล่อยให้ทั้งสองเวอร์ชันรันพร้อมกัน
ไม่ควรรันในช่วงเวลาที่ต่างกัน หรือเลือกกลุ่มเป้าหมายต่างกัน เพราะจะทำให้ผลลัพธ์ไม่แม่นยำ
3. ใช้ฟีเจอร์ Split Testing ของ Facebook
Facebook Ads มีฟีเจอร์ Split Testing ที่ช่วยแบ่งผู้ชมให้เห็นแคมเปญ A และ B โดยไม่ซ้อนกัน ทำให้เปรียบเทียบผลลัพธ์ได้แบบแฟร์ ๆ
Google Ads ก็มีฟีเจอร์ Experiments และ TikTok Ads ก็มี Split Test เช่นกัน
เริ่มเปลี่ยนที่อะไรดี? ลำดับความสำคัญของตัวแปรในการทดสอบ
1. เริ่มจาก Creative (ภาพ/วิดีโอ)
จากงานศึกษาของ Nielsen บริษัทวิจัยระดับโลก พบว่า คุณภาพของครีเอทีฟ ส่งผลต่อผลลัพธ์ของแคมเปญมากที่สุด เพราะเป็นสิ่งแรกที่ผู้ชมเห็น
ถ้าภาพหรือวิดีโอไม่น่าสนใจ ผู้ชมก็จะไม่หยุดดู ไม่อ่าน ไม่คลิก และแน่นอนว่า Conversion ก็จะไม่เกิดขึ้น
2. ข้อความโฆษณา (Copywriting)
ถ้าคุณพบว่า CTR ดี แต่ Conversion Rate แย่ อาจเป็นเพราะข้อความไม่สอดคล้องกับ Landing Page เช่น:
- โฆษณาบอก “ลด 50%” แต่หน้าเว็บไม่มีโปรโมชั่น
- โฆษณาบอก “ของมีจำนวนจำกัด” แต่ในเว็บไม่มีความเร่งเร้า
ข้อความโฆษณาควรตรงประเด็น และสอดคล้องกับหน้าปลายทาง เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ต่อเนื่อง
3. ปุ่ม CTA (Call to Action)
คำว่า “ดูเลย” กับ “ซื้อเลย” อาจให้ผลต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับว่าแคมเปญของคุณอยู่ในช่วงไหนของ Funnel
- Awareness: ใช้คำว่า “ดูเลย” หรือ “เรียนรู้เพิ่มเติม” ช่วยลดแรงเสียดทาน
- Remarketing: ใช้ “ช้อปเลย” หรือ “รับส่วนลดวันนี้” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
- ปรับตำแหน่งการวางปุ่มที่หน้าเว็บไซต์ เช่น การย้ายปุ่มไปไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นง่ายขึ้นหรืออยู่ใกล้กับคอนเทนต์ที่กระตุ้นการตัดสินใจ และทดลองการเปลี่ยนสีของปุ่ม CTA ให้มีความโดดเด่นมากขึ้น เช่น เปลี่ยนจากสีเทาอ่อนเป็นสีส้ม หรือสีแดง ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้งานคลิกได้มากกว่าเดิม
4. กลุ่มเป้าหมาย (Targeting)
บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่คุณพูด แต่คือ “คุณพูดกับใคร” ต่างหาก
A/B Test กลุ่มเป้าหมาย เช่น:
- เพศชาย VS เพศหญิง
- กลุ่มอายุ 25–34 VS 35–44
- กลุ่มสนใจทั่วไป VS Lookalike Audience จากลูกค้าเก่า
ตั้งสมมติฐานก่อนเริ่มทดสอบ
A/B Test ที่ดีต้องเริ่มจาก “สมมติฐาน” ที่ชัดเจน เช่น:
- “CTR ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แปลว่าโฆษณาไม่น่าดึงดูด ทดสอบภาพใหม่”
- “มีคนคลิกแต่ไม่ซื้อ แปลว่า Landing Page ไม่ตรงกับโฆษณา ทดสอบข้อความใหม่ให้ตรงกัน” โดยดูจากอัตราคอนเวอร์ชั่น (Conversion Rate)
คำแนะนำเพิ่มเติม: อย่าทำ A/B Test เพียงเพราะอยากลอง
ไม่ควรทำ A/B Test เพราะ “อยากลอง” เฉย ๆ เพราะจะเสียเวลาและงบประมาณโดยไม่เกิดประโยชน์ การทดสอบที่ไม่มีการเปรียบเทียบที่ชัดเจน หรือไม่มีสมมติฐานรองรับ มักจะทำให้คุณสับสนกับผลลัพธ์ และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เช่น หากคุณแค่เปลี่ยนสีพื้นหลังจากน้ำเงินเป็นเขียว โดยไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงคิดว่าสีนั้นจะช่วยเพิ่ม Conversion Rate สุดท้ายคุณอาจไม่สามารถตีความผลลัพธ์ได้เลยว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นดีขึ้นจริงหรือเป็นเพียงความผันผวนของข้อมูล
ดังนั้น การทดสอบทุกครั้งควรเริ่มจากคำถามที่ชัดเจน เช่น “เรากำลังพยายามแก้ปัญหาอะไร” และ “ตัวแปรนี้มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าจริงหรือไม่” หากไม่มีเหตุผลรองรับหรือไม่มีเป้าหมายที่วัดผลได้ชัดเจน คุณอาจได้ข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการทดสอบ
1. อย่าทดสอบช่วงที่ระบบยังไม่นิ่ง
เช่น:
- เพิ่งอัปเดต Facebook Pixel
- เพิ่งเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์
- อยู่ในช่วงเทศกาลพิเศษ เช่น 9.9, Black Friday, ปีใหม่
2. อย่าเปลี่ยนแคมเปญระหว่างที่ระบบยังเรียนรู้ (Learning Phase)
หากเปลี่ยนครีเอทีฟบ่อย ๆ ในช่วง Learning Phase อัลกอริทึมจะต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ทำให้ผลลัพธ์ไม่เสถียร
ทางที่ดีที่สุดคือ “ปล่อยให้รันจนจบ” แล้วค่อยวิเคราะห์ผล
เคสจริง: ธุรกิจขายอุปกรณ์ฟิตเนสออนไลน์
ธุรกิจหนึ่งขายอุปกรณ์ฟิตเนสออนไลน์ ยิงแอดบน Facebook มาหลายเดือน ยอดขายเริ่มนิ่ง แม้เพิ่มงบแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่ดีขึ้น
วิธีที่ใช้:
- ทำ A/B Test โดยเปลี่ยนแค่ครีเอทีฟ
- เวอร์ชัน A: ภาพสินค้าเดี่ยวพื้นขาว
- เวอร์ชัน B: วิดีโอ 15 วินาที โชว์การใช้งานจริง พร้อมข้อความชัดเจน
ผลลัพธ์:
- CTR เพิ่มขึ้น
- ต้นทุนต่อคอนเวอร์ชัน (Cost per Conversion) ลดลง
จากนั้นจึงโยกงบทั้งหมดไปที่ครีเอทีฟแบบวิดีโอ และผลลัพธ์ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ — ไม่ใช่เพราะเพิ่มงบ แต่เพราะ “เพิ่มประสิทธิภาพด้วยข้อมูล”
สรุป: ทำ A/B Test ให้เป็นวินัย
A/B Testing ไม่ใช่แค่เครื่องมือวัดผล แต่คือกระบวนการเรียนรู้ของทีมตลาดและธุรกิจ
ทุกครั้งที่ทดสอบ:
- คุณจะได้ข้อมูลใหม่
- ทีมจะมีประสบการณ์เพิ่ม
- คุณจะลดการตัดสินใจตามอารมณ์ และใช้ข้อมูลเป็นหลัก
แทนที่จะเพิ่มงบเพื่อแก้ปัญหา คุณจะใช้ “กระบวนการวัดผล” เพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
เกี่ยวกับ SMEJUMP
SMEJUMP คือผู้ให้บริการการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร เราช่วยธุรกิจตั้งแต่เริ่มวางกลยุทธ์ ยิงแอด ปรับเว็บไซต์ ไปจนถึงวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรืออยากขยายการเติบโต ทีมเราพร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่คุณไว้ใจได้
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!