วิธีทำ Facebook Ads 2026
วิธีทำ Facebook Ads 2026 ฉบับสมบูรณ์ | คู่มือที่ธุรกิจ SME ต้องรู้
วิธีทำ Facebook Ads 2026 | คู่มือที่ธุรกิจ SME ต้องรู้
กำลังหาวิธีทำ Facebook Ads 2026 ที่ได้ผลจริงใช่ไหมครับ? Facebook Ads เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ถ้ายังทำแบบปีที่ผ่านมา อาจไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง
บทความนี้จะแชร์วิธีทำ Facebook Ads แบบเจาะลึก ตั้งแต่สิ่งที่ควรโฟกัส สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง จนถึงฟีเจอร์ที่ควรเลือกใช้ โดยเฉพาะสำหรับตลาดไทยที่มีเอกลักษณ์และพฤติกรรมเฉพาะตัว
ภาพรวม Facebook ในไทยปี 2026
ก่อนจะไปดูวิธีทำกันเต็มๆ มาดูภาพรวมตลาดกันก่อน
ประเทศไทยมีผู้ใช้ Facebook ประมาณ 51.5 ล้านคน ในปลายปี 2025 ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มากและยังคงเติบโต แม้จะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เข้ามา แต่ Facebook ยังคงเป็นช่องทางหลักในการทำโฆษณาออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen X, Gen Y และบางส่วนของ Gen Z
คนไทยใช้เวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 35 นาทีต่อวันบน Social Media ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก นี่หมายความว่าโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายยังมีเยอะมาก ถ้าเรารู้วิธีทำให้ถูก
สิ่งสำคัญคือตลาด Social Commerce ในไทยมีมูลค่าถึง 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ คนไทยชอบซื้อของผ่าน Social Media มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการทำโฆษณาที่ตอบโจทย์พฤติกรรมนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญ
วิธีทำ Facebook Ads 2026: สิ่งที่ต้องโฟกัส
เมื่อพูดถึงวิธีทำ Facebook Ads มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนไปจากเดิม มาดูกันว่าอะไรบ้างที่เราควรให้ความสำคัญ
1. AI และ Automation คือตัวเปลี่ยนเกม
Advantage+ Shopping Campaigns ใช้ AI ปรับแต่งตำแหน่งโฆษณา กลุ่มเป้าหมาย และ Creative แบบ Real-time สามารถลด Cost Per Acquisition ได้ถึง 17% เมื่อเทียบกับการตั้งค่าแบบดั้งเดิม
Advantage+ คืออะไร? เป็นระบบ Automation ของ Meta ที่ให้ AI ช่วยตัดสินใจหลายๆ อย่างแทนเรา ตั้งแต่เลือกกลุ่มเป้าหมาย เลือกตำแหน่งแสดงโฆษณา จนถึงการปรับ Bid
สำหรับธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SME ที่ไม่มีทีมใหญ่ ระบบนี้ช่วยประหยัดเวลาและให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทำ Manual หลายครั้ง
วิธีใช้ให้ได้ผล:
- ต้องมีข้อมูล Conversion อย่างน้อย 50 Conversions ใน 7 วันที่ผ่านมา AI จะได้มีข้อมูลเพียงพอในการเรียนรู้
- ให้ Creative หลากหลาย อย่างน้อย 3-5 รูป + 3-5 วิดีโอ AI จะทดสอบแล้วเลือกอันที่ได้ผลดีที่สุด
- อย่าไปปรับบ่อยเกินไป ให้เวลา AI เรียนรู้อย่างน้อย 7 วัน
2. Video Content กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
Reels Ads สร้าง Engagement มากกว่าโฆษณาวิดีโอแบบปกติถึง 20% คนไทยโดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Y ชอบดูวิดีโอสั้นๆ มากกว่าอ่านข้อความยาวๆ
รูปแบบวิดีโอที่ทำงานได้ดีในไทย:
Reels / Short-form Video (ต่ำกว่า 30 วินาที)
- ใช้กับสินค้า/บริการที่อธิบายง่าย
- เหมาะกับการสร้าง Awareness และ Engagement
- ใส่ Subtitle ภาษาไทยเสมอ เพราะคนส่วนใหญ่ดูแบบไม่เปิดเสียง
Live Streaming Live Commerce เปลี่ยน E-commerce ให้กลายเป็นประสบการณ์ทางสังคม ผู้ขายสามารถโต้ตอบกับลูกค้าแบบ Real-time ตอบคำถามและสร้างความไว้วางใจพร้อมๆ กับการแสดงสินค้า
สำหรับตลาดไทย คนไทยชอบ Live บน TikTok มากที่สุด เพราะมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ขายและผู้ซื้อ มีระบบ TikTok Shop ที่ซื้อของได้ทันทีในระหว่างดู Live รองลงมาคือ Facebook และ Lazada ที่ยังมีฐานผู้ใช้เยอะ
ธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จกับ Live Streaming มักจะ:
- มีพรีเซ็นเตอร์ที่พูดเก่ง สร้างบรรยากาศสนุกสนาน มีพลัง
- เตรียมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนที่ดู Live เท่านั้น (Flash Sale ในช่วงเวลาจำกัด)
- ตอบคำถามทันที ทำให้คนรู้สึกมีส่วนร่วมและสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อ
- Live เป็นประจำในเวลาเดิม สร้างนิสัยให้ลูกค้าเข้ามารอดู
Carousel Video Ads Carousel Ads ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการนำเสนอสินค้าหลายชิ้นหรือฟีเจอร์ต่างๆ ภายในโฆษณาชุดเดียว แต่ละการ์ดสามารถมี Headline, ลิงก์ และรูปภาพของตัวเอง ทำให้เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องหรือการสาธิตสินค้า
ตัวอย่างธุรกิจไทยที่เหมาะใช้:
- ร้านอาหาร: แสดงเมนูเด็ด 5 อย่าง แต่ละการ์ดเป็นเมนูหนึ่ง
- ร้านเสื้อผ้า: แสดง Look ต่างๆ ของคอลเลกชั่นใหม่
- โรงแรม: แสดงห้องพัก สระว่ายน้ำ ร้านอาหาร สปา ในโฆษณาชุดเดียว
3. Personalization และ Segmentation ต้องทำให้ละเอียด
ผู้บริโภค 76% กล่าวว่าข้อความที่ Personalize ทำให้พวกเขามีโอกาสพิจารณาแบรนด์มากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่นักการตลาดส่วนใหญ่จัดสรรประมาณ 40% ของงบประมาณไปกับการ Personalize โฆษณาดิจิทัล
วิธีทำ Segmentation ในบริบทไทย:
แบ่งตาม Customer Journey:
- Cold Audience: คนที่ไม่เคยรู้จักเรา → ใช้เนื้อหาเบาๆ สร้างความรู้จัก เช่น “5 เหตุผลที่ควรใช้ผลิตภัณฑ์นี้”
- Warm Audience: คนที่เคย Engage กับเพจ, ดูโพสต์, แต่ยังไม่ซื้อ → โชว์ Review, Testimonial, โปรโมชั่นพิเศษ
- Hot Audience: คนที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแล้ว หรือเคยซื้อแล้ว → Retargeting ด้วยส่วนลด หรือ Upsell สินค้าอื่น
แบ่งตามพฤติกรรมเฉพาะไทย:
- คนที่ช็อปช่วงเงินเดือนออก (ต้นเดือน) vs ปลายเดือน
- คนที่ซื้อของในช่วงโปรโมชั่นเท่านั้น vs คนที่ซื้อราคาเต็ม
- คนที่ชอบ COD vs คนที่โอนเงินก่อน
4. Privacy-First และ First-Party Data
ด้วยกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น GDPR ในยุโรป, Apple’s App Tracking Transparency (ATT) และสำหรับประเทศไทยเรามี พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่บังคับใช้แล้ว ทำให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนวิธีการเก็บและใช้ข้อมูลลูกค้า
Facebook/Meta จึงเน้นการปกป้องผู้บริโภคมากขึ้น ต้องใช้ Server-side Tracking ด้วย Facebook Conversions API และต้องหันมาใช้ประโยชน์จาก First-Party Data แทนการพึ่งพา Third-Party Cookies ที่กำลังจะหายไป แต่ถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยเกี่ยวกับการทำ Facebook Conversion คุณอาจจะปรีกษาบริษัทรับทำ Facebook Ads ที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างเช่น SME Jump เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ในการเก็บข้อมูล
First-Party Data คืออะไร?
First-Party Data คือข้อมูลที่เราเก็บจากลูกค้าโดยตรง ผ่านช่องทางของเราเอง เช่น:
- ข้อมูลที่ลูกค้ากรอกในเว็บไซต์เรา (อีเมล, เบอร์โทร, ที่อยู่)
- ประวัติการซื้อสินค้า
- พฤติกรรมการเข้าเว็บไซต์ (ดูหน้าไหน, ใช้เวลานานแค่ไหน)
- การโต้ตอบกับแบรนด์บน Social Media
- ข้อมูลจาก CRM หรือระบบสมาชิก
ทำไม First-Party Data ถึงสำคัญต่อการทำการตลาดออนไลน์?
- ความแม่นยำสูงกว่า – เป็นข้อมูลจากลูกค้าจริงของเรา ไม่ใช่การคาดเดา
- ไม่โดน Block – ไม่พึ่งพา Cookie ที่คนสามารถปิดหรือ Block ได้
- ถูกกฎหมาย – ถ้าเก็บถูกต้องตาม PDPA (มีการขอความยินยอม) ใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย
- สร้าง Audience ที่แม่นยำ – ใช้สร้าง Custom Audience และ Lookalike Audience บน Facebook Ads ได้
- ลด Cost Per Acquisition – เพราะเรารู้จักลูกค้าดี ยิงโฆษณาได้ตรงเป้ามากขึ้น
- ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น – ข้อมูลเป็นของเราเอง ไม่ต้องซื้อหรือพึ่งพา Third-Party
สิ่งที่ธุรกิจไทยต้องทำ:
ตั้งค่า Conversions API (CAPI) เป็น Server-Side Tracking ที่ช่วยให้ Meta ติดตาม Conversion ได้แม่นยำขึ้น แม้ผู้ใช้จะ Block Cookie หรือปิด Tracking
วิธีการตั้งค่า:
- ถ้าใช้ Shopify, WooCommerce มักมี Plugin ให้ใช้ง่ายๆ
- ถ้าเว็บสร้างเอง ต้องใช้ Developer ช่วยติดตั้ง
- ควรใช้ร่วมกับ Facebook Pixel แบบ Dual Tracking เพื่อความแม่นยำสูงสุด
สะสม Customer Data ของตัวเอง
- เก็บอีเมล, เบอร์โทร จากลูกค้าที่ซื้อสินค้า
- ใช้ Lead Ads เก็บข้อมูล
- สร้าง CRM หรือใช้ Google Sheets เก็บข้อมูลพื้นฐาน
ใช้ Custom Audiences จาก First-Party Data อัปโหลดข้อมูลลูกค้าเข้า Meta สร้าง Custom Audience แล้ว:
- Retarget ลูกค้าเก่าด้วยโปรโมชั่นใหม่
- สร้าง Lookalike Audience หาคนใหม่ที่คล้ายลูกค้าที่ดีที่สุดของเรา
5. Facebook Lead Ads กับ Messenger/WhatsApp Ads
Facebook Lead Generation Forms ช่วยให้ธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ต้องให้พวกเขาออกจากแพลตฟอร์ม ซึ่งช่วยลด Friction และเพิ่มอัตราการแปลง
Lead Ads เหมาะกับธุรกิจไหนในไทย:
- ธุรกิจบริการ: คลินิกความงาม, ฟิตเนส, ประกันภัย, สถาบันสอน
- Real Estate: รับข้อมูลผู้สนใจดูบ้าน/คอนโด
- B2B: รับข้อมูลจากลูกค้าองค์กร
เทคนิคการใช้ให้ได้ผล:
- ถามเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริงๆ ถามมากเกินไป คนจะไม่กรอก
- ใส่ Privacy Policy ให้ชัดเจน คนไทยเริ่มใส่ใจเรื่องข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น
- เพิ่มคำถามที่ผู้ใช้ต้องกรอกเอง เพราะ Facebook มีระบบ Autofill ซึ่งอาจทำให้บางคนกรอกโดยไม่รู้ตัวและสับสนเมื่อถูกติดต่อกลับ
- ต่อระบบตอบกลับอัตโนมัติทันที อย่าปล่อยให้คนรอนาน
Messenger และ WhatsApp Ads จะมีบทบาทมากขึ้นในการทำ Lead Generation ทำให้ธุรกิจสามารถโต้ตอบกับลูกค้าแบบ Real-time
สำหรับไทย WhatsApp ยังไม่ได้รับความนิยมเท่า LINE แต่ Messenger ยังใช้ได้ดีมาก โดยเฉพาะการเชื่อมกับ Chatbot ตอบคำถามเบื้องต้นอัตโนมัติ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อทำ Facebook Ads
นอกจากจะรู้ว่าต้องทำอะไรแล้ว การรู้ว่าอะไรไม่ควรทำก็สำคัญเท่ากัน มาดูข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Facebook Ads 2026
1. อย่าทำโฆษณาแบบ One-Size-Fits-All
การกำหนดเป้าหมายแบบเดียวกันสำหรับทุกคนไม่ได้ผลอีกต่อไป การแบ่งกลุ่มผู้ชมช่วยให้คุณส่งข้อความที่แตกต่างกันไปยังกลุ่มคนต่างๆ
ตัวอย่างที่ผิด:
- โฆษณาเดียวกันแสดงให้คนทุกคนเห็น
- ข้อความเดียวกันสำหรับทั้งคนที่เคยซื้อแล้วและคนที่ไม่เคยรู้จักเรา
ตัวอย่างที่ถูก:
- แบ่งโฆษณาชุดต่างๆ สำหรับกลุ่มคนต่างวัย
- ข้อความต่างกันสำหรับคนกรุงเทพ vs ต่างจังหวัด
- โปรโมชั่นต่างกันสำหรับลูกค้าใหม่ vs ลูกค้าเก่า
2. อย่าใช้ Clickbait แบบหลอกลวง
Facebook ลงโทษ Engagement คุณภาพต่ำ โฆษณาที่มี Copy ทำให้เข้าใจผิดสามารถทำร้ายประสิทธิภาพบัญชีโดยรวมของคุณได้
Clickbait ที่ควรหลีกเลี่ยง:
- “คุณจะไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น…” แล้วไม่มีเนื้อหาสนับสนุน
- “ลดราคา 90%” แต่จริงๆ ลดแค่ 10%
- ใช้รูปที่ไม่ตรงกับสินค้าจริง
- สัญญาว่า “ฟรี” แต่มีค่าใช้จ่ายซ่อนอยู่
วิธีที่ถูกต้อง:
- สื่อสารแบบตรงไปตรงมา บอกประโยชน์จริงๆ
- ถ้ามีโปรโมชั่น บอกเงื่อนไขให้ชัดเจน
- ใช้รูปสินค้าจริง ไม่แต่ง Photoshop จนผิดจากความเป็นจริง
3. อย่าละเลยคุณภาพของ Creative
คุณภาพของ Creative มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใช้มีความเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมและคาดหวังระดับคุณภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:
- ใช้รูปจาก Google เอามาลงตรงๆ ความละเอียดต่ำ
- วิดีโอสั่นมือ ไม่มี Subtitle
- ข้อความเยอะเกินไป อ่านไม่ไหว
- สีสันไม่ลงตัว รูปไม่โดดเด่น
วิธีปรับปรุง:
- ลงทุนถ่ายภาพสินค้าคุณภาพดี หรือใช้ Stock Photo แบบมืออาชีพ
- ใช้เครื่องมือออกแบบอย่าง Canva, Figma สร้างโฆษณาที่ดูโปรเฟสชั่นแนล
- ใช้ประโยชน์จาก AI Tools ของ Facebook ที่สามารถสร้างรูปภาพใหม่ให้คุณจากทรัพย์สินที่มีอยู่ หรือเขียน Copy ให้จากข้อมูลที่ใส่เข้าไปง่ายๆ
4. อย่าใช้ Static Image อย่างเดียว
Video ทำงานได้ดีกว่าในปี 2026 แต่ไม่ใช่ว่ารูปภาพจะใช้ไม่ได้เลย แค่ต้องใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา
เมื่อไหร่ควรใช้ Static Image:
- สินค้าที่ต้องการแสดงรายละเอียด เช่น เครื่องประดับ นาฬิกา
- โปรโมชั่นที่ต้องการเน้นราคาชัดเจน
- ทดสอบหา Creative ที่ดีที่สุดก่อนทำเป็นวิดีโอ
เมื่อไหร่ควรใช้ Video:
- ต้องการเล่าเรื่อง หรือแสดงวิธีใช้สินค้า
- ต้องการสร้าง Engagement สูงๆ
- ต้องการให้คนจำแบรนด์ได้
5. อย่าลืม Mobile Experience
คนใช้เวลาเฉลี่ย 1.7 วินาทีกับเนื้อหาใน Facebook News Feed บนมือถือ เทียบกับ 2.5 วินาทีบนเดสก์ท็อป ด้วยช่วงความสนใจที่สั้นเช่นนี้ โฆษณาต้องมีข้อความที่ชัดเจนและกระชับ ควรมีความยาวประมาณ 125 ตัวอักษรหรือน้อยกว่า
สิ่งที่ต้องทำ:
- ทดสอบโฆษณาบนมือถือก่อนเปิดเสมอ
- ตัวอักษรต้องอ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป
- ปุ่ม CTA ต้องกดง่าย ไม่เล็กจนกดผิด
- Landing Page โหลดเร็ว ภายใน 3 วินาที
ฟีเจอร์ Facebook Ads 2026 ที่ควรเลือกใช้
หลังจากรู้แล้วว่าควรทำอะไรและหลีกเลี่ยงอะไร ตอนนี้มาดูฟีเจอร์เด็ดๆ ที่จะช่วยให้การทำ Facebook Ads ของคุณได้ผลดีขึ้น
1. Advantage+ Shopping Campaigns
เหมาะสำหรับ: E-commerce, ร้านค้าออนไลน์ทุกประเภท
ข้อดี:
- AI จัดการเกือบทุกอย่างอัตโนมัติ
- ลด Cost Per Purchase ได้ชัดเจน
- ขยาย Reach ไปยังกลุ่มคนที่เราอาจไม่ได้คิดถึง
วิธีใช้:
- อัปโหลดสินค้าทั้งหมดใน Catalog
- ให้ Creative หลากหลาย (รูป + วิดีโอ)
- ตั้ง Budget ตามเป้า ROAS ที่ต้องการ
- ปล่อยให้ AI ทำงานอย่างน้อย 7-14 วัน ก่อนตัดสินใจปรับอะไร
2. Advantage+ Creative
ฟีเจอร์ AI ที่ช่วยปรับแต่ง Creative ให้เหมาะกับคนดู เช่น:
- เพิ่ม Template ที่สวยงามให้โฆษณาอัตโนมัติ
- ปรับ Brightness, Contrast ให้โดดเด่นขึ้น
- เพิ่ม Music ให้วิดีโออัตโนมัติ
แค่เปิดสวิตช์ใน Ad Set ก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
3. Advantage+ Audience
เดิมเราต้องกำหนด Audience ละเอียดมาก (อายุ, เพศ, ความสนใจ) แต่ฟีเจอร์นี้ขยายการกำหนดเป้าหมายผู้ชมของคุณเกินกว่าพารามิเตอร์ที่คุณตั้งไว้ตอนแรก ใช้ AI ของ Meta เพื่อค้นหาและมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ใหม่ที่เกี่ยวข้องสูง
วิธีใช้ให้ได้ผล:
- เริ่มจากกำหนด Audience Suggestion ให้ AI เป็นทิศทาง
- เลือก “Advantage+ Audience” แทน “Original Audience”
- AI จะหาคนเพิ่มที่มีโอกาส Convert สูงนอกเหนือจากกลุ่มที่เราตั้ง
4. Dynamic Creative
Facebook จะทดสอบ Combination ต่างๆ ของ Headline, รูปภาพ, วิดีโอ, Description, CTA แล้วเลือกแสดง Combination ที่ได้ผลดีที่สุดให้แต่ละคน
วิธีตั้งค่า:
- อัปโหลด 3-10 รูปภาพ
- อัปโหลด 3-5 วิดีโอ
- เขียน Headline 3-5 แบบ
- เขียน Description 3-5 แบบ
- ปล่อยให้ Facebook ทดสอบหาคอมโบที่ดีที่สุด
ประหยัดเวลามากกว่าการสร้างโฆษณาชุดย่อยหลายๆ ชุดด้วยตัวเอง
5. Facebook Shops
Facebook Marketplace Trends แสดงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่ Social Commerce ที่ผู้ใช้ซื้อและขายได้โดยตรงบนแพลตฟอร์ม
Facebook Shops คือ: หน้าร้านออนไลน์ฟรีบน Facebook/Instagram ที่คนสามารถดูสินค้า เลือกซื้อ ชำระเงิน โดยไม่ต้องออกจากแอป
ประโยชน์สำหรับธุรกิจไทย:
- ไม่ต้องมีเว็บไซต์เอง ก็ขายของออนไลน์ได้
- เชื่อมต่อกับ Facebook/Instagram Ads ได้ตรง
- รองรับการชำระเงินผ่าน Payment Gateway ต่างๆ ที่คนไทยคุ้นเคย
6. Meta Business Suite
เครื่องมือจัดการ Facebook และ Instagram ในที่เดียว สามารถ:
- ตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้า
- ดูข้อมูล Insights ของทั้ง 2 แพลตฟอร์ม
- ตอบ Message จากทั้ง Facebook Messenger และ Instagram DM ในที่เดียว
- จัดการโฆษณาได้ง่ายขึ้น
ธุรกิจ SME ควรใช้เพราะประหยัดเวลาและจัดการได้สะดวกกว่าการเปิดหลายแท็บ
7. Conversion Lift Test
Conversion Lift Tests วัดว่าโฆษณาของคุณส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหนจริงๆ โดยเปรียบเทียบกลุ่มที่เห็นโฆษณากับกลุ่มที่ไม่ได้เห็น
เหมาะกับ:
- แบรนด์ที่ต้องการวัดผลระยะยาวว่าโฆษณาช่วยสร้าง Brand Awareness ได้จริงไหม
- ธุรกิจที่มีงบใหญ่พอที่จะทดสอบ (ต้องใช้งบขั้นต่ำระดับหนึ่ง)
- บริษัทที่ต้องการข้อมูลแสดงต่อผู้บริหารว่าโฆษณา Facebook มีผลจริง
8. Automated Rules
ตั้งกฎอัตโนมัติให้ Facebook ทำบางอย่างเองเมื่อเงื่อนไขตรง
ตัวอย่างการใช้งาน:
- ถ้า Cost Per Result สูงกว่า 200 บาท → หยุดโฆษณาชุดนั้นอัตโนมัติ
- ถ้า Frequency สูงเกิน 5 → ลดงบลง 20%
- ถ้า ROAS ต่ำกว่า 2 → แจ้งเตือนทีม
- ถ้าโฆษณาทำงานดีมาก → เพิ่มงบอัตโนมัติ
ช่วยประหยัดเวลาตรวจสอบโฆษณาบ่อยๆ และป้องกันไม่ให้เผาเงินเปล่าเวลาโฆษณาทำงานแย่
9. Collaborative Ads
Collaborative Ads คือโฆษณาที่แบรนด์และร้านค้าปลีกทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันยอดขายทั้งออนไลน์และในร้าน
เหมาะกับ:
- แบรนด์ที่ขายผ่าน Retailer เช่น Big C, Lotus’s, Lazada, Shopee
- ผู้ผลิตที่ต้องการร่วมกับร้านค้าทำโปรโมชั่น
ข้อดี:
- แบรนด์สามารถโฆษณาสินค้าที่ขายใน Retailer โดยตรง
- วัดผลได้ว่าโฆษณาดึงคนไปซื้อจริงที่ไหน
- แชร์ข้อมูล Conversion กันได้ระหว่างแบรนด์กับ Retailer
10. A/B Testing
ฟีเจอร์ทดสอบเปรียบเทียบแบบเป็นทางการของ Facebook ช่วยให้เราทดสอบได้ว่าอะไรทำงานดีกว่ากัน
สิ่งที่ควรทดสอบ:
- Creative: รูปภาพ vs วิดีโอ, สีสันต่างกัน, สไตล์ต่างกัน
- Copy: ข้อความแบบสั้น vs ยาว, Tone & Manner ต่างกัน
- Audience: กลุ่มอายุต่างกัน, ความสนใจต่างกัน
- Placement: Feed vs Stories vs Reels
- Call-to-Action: “Shop Now” vs “Learn More” vs “Sign Up”
เคล็ดลับ:
- ทดสอบครั้งละ 1 ตัวแปร จะได้รู้ว่าอะไรมีผลจริงๆ
- ใช้ Budget พอสมควร ถ้างบน้อยเกินไปผลจะไม่ชัดเจน
- รอให้มี Statistical Significance ก่อนสรุปผล Facebook จะบอกเอง
เคล็ดลับการทำ Facebook Ads สำหรับตลาดไทย
วิธีทำ Facebook Ads 2026 สำหรับตลาดไทยมีเทคนิคเฉพาะที่ต่างจากต่างประเทศ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรรู้
1. เข้าใจ Peak Time ของคนไทย
จากประสบการณ์ทำให้ลูกค้าไทยหลายราย พบว่า:
วันธรรมดา:
- 07:00-09:00 น. (ระหว่างเดินทางไปทำงาน)
- 12:00-13:00 น. (พักเที่ยง)
- 18:00-22:00 น. (กลับบ้านแล้ว)
วันหยุด:
- 10:00-12:00 น. (ตื่นมาเช็คมือถือ)
- 15:00-17:00 น. (ช่วงบ่าย)
- 20:00-23:00 น. (กลางคืน)
ใช้ Dayparting ตั้งเวลาแสดงโฆษณาในช่วงเวลาที่คนออนไลน์เยอะ จะได้ Cost Per Result ที่ดีกว่า
2. ใช้ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ
คนไทยชอบภาษาที่:
- เป็นกันเอง ไม่เป็นทางการเกินไป
- มี Emotion สื่ออารมณ์ได้
- มีคำที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างที่ดี:
- “ผิวเด้งใสใน 7 วัน จริงไหมต้องลอง”
- “อร่อยจนต้องกลับมาซื้ออีก”
- “ส่งฟรีทั่วไทย ไม่ต้องห่วงค่าขนส่ง”
ตัวอย่างที่ไม่ค่อยได้ผล:
- “สินค้าคุณภาพเยี่ยม เหมาะสำหรับท่าน” (เป็นทางการเกิน)
- “Revolutionary Product ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ” (ฟังดูเกินจริง)
3. โปรโมชั่นแบบไทยๆ
คนไทยชอบโปรที่:
- ซื้อ 1 แถม 1 – คุ้มกว่าลดราคา 50% ตรงๆ
- ฟรีของแถม – มักดึงดูดใจมากกว่าลดราคา
- ส่งฟรี – Magic Word สำหรับคนไทย
- COD – ยังมีคนชอบจ่ายปลายทางเยอะ โดยเฉพาะต่างจังหวัด
4. ใช้ Social Proof อย่างชาญฉลาด
คนไทยเชื่อ:
- Review จากคนจริง มีรูปถ่ายสินค้าจริง
- คนดังแนะนำ (Influencer, Celebrity)
- ยอดขาย “ขายไปแล้ว 10,000+ ชิ้น”
- ตัวเลขที่ชัดเจน “คนไทยกว่า 50,000 คนใช้แล้ว”
แต่ต้องเป็นเรื่องจริง ถ้าโกหกจะโดนเปิดโปงและเสียชื่อเสียง
5. ระวังเรื่องสี วัฒนธรรม ความเชื่อ
- สีดำ – บางคนไม่ชอบเพราะให้ความรู้สึกทางลบ ใช้ระวังๆ
- เทศกาลสำคัญ – ปีใหม่, สงกรานต์, ลอยกระทง ควรมีโปรโมชั่นพิเศษ
- วันพระ – ธุรกิจบางประเภท (อาหารมังสวิรัติ, สินค้าทำบุญ) ขายดีช่วงนี้
- ความเชื่อเรื่องเลขมงคล – บางธุรกิจใช้โปร 99 บาท, 199 บาท, 999 บาท ได้ผลดี
6. Content Strategy สำหรับคนไทย
ประเภท Content ที่คนไทยชอบ:
Lifestyle Content
- แสดงการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
- Before & After (โดยเฉพาะสินค้าความงาม, ฟิตเนส)
- Behind the Scenes ของแบรนด์
Educational Content
- สอนวิธีใช้สินค้า
- Tips & Tricks
- เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์
Entertainment Content
- มีม ตลก เบาสมอง
- Challenge, Contest
- Story ที่น่าติดตาม
User-Generated Content (UGC)
- รีโพสต์รูปจากลูกค้า (ขออนุญาตก่อน)
- Unboxing Video จากลูกค้าจริง
- Review จากผู้ใช้งานจริง
7. เตรียมตัวสำหรับ E-Commerce Mega Sales
ตลาดไทยมี Sale ใหญ่หลายช่วง:
- Shopee/Lazada Sales – 2.2, 3.3, 4.4, 6.6, 7.7, 8.8, 9.9, 10.10, 11.11, 12.12
- End of Season Sale – พฤษภาคม, ตุลาคม
- Year End Sale – ธันวาคม
วิธีเตรียมตัว:
- เริ่มวิ่งโฆษณา Teaser 1-2 สัปดาห์ก่อน
- เพิ่มงบในวันจริง เพราะเป็นช่วงที่คนพร้อมซื้อมากที่สุด
- มีสต็อกพอ อย่าให้ขาดตลาด
- Customer Service ต้องพร้อมรับข้อความเยอะ
8. Retargeting Strategy สำหรับคนไทย
Retargeting Ads เตือนผู้ใช้เกี่ยวกับสินค้าที่พวกเขาดูหรือเพิ่มลงตะกร้าซื้อ โดยแสดงโฆษณาเหล่านั้นต่อไปขณะที่พวกเขาเรียกดูเว็บไซต์อื่นๆ
กลยุทธ์ Retargeting ที่เวิร์คในไทย:
ช่วง 1-3 วัน: แสดงสินค้าที่พวกเขาดูอยู่ + Reminder เบาๆ ช่วง 4-7 วัน: เพิ่มส่วนลดเล็กน้อย 5-10% ช่วง 8-14 วัน: ส่วนลดใหญ่ขึ้น หรือแถมของ ช่วง 15-30 วัน: โปรโมชั่นพิเศษสุดๆ เพื่อปิดการขาย
ข้อควรระวัง: อย่า Retarget บ่อยเกินไป จะกลายเป็น Spam ทำให้คนรู้สึกรำคาญ ตั้ง Frequency Cap ไว้ที่ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์
งบประมาณและ Bidding Strategy
เลือก Bidding Strategy ให้เหมาะกับ Objective
Cost Cap
- ใช้เมื่อ: ต้องการควบคุมต้นทุนต่อ Conversion ไม่ให้เกินที่กำหนด
- เหมาะกับ: ธุรกิจที่มี Margin แน่นอน รู้ว่าสามารถจ่ายได้สูงสุดเท่าไหร่
Bid Cap
- ใช้เมื่อ: ต้องการควบคุม Bid ในแต่ละ Auction
- เหมาะกับ: ผู้ที่มีประสบการณ์สูง รู้ค่า Bid ที่เหมาะสมดี
Lowest Cost (without cap)
- ใช้เมื่อ: ต้องการ Volume มากที่สุด ไม่สนใจต้นทุน
- เหมาะกับ: แคมเปญ Awareness, การทดสอบช่วงแรก
Highest Value
- ใช้เมื่อ: ต้องการยอดขายรวมสูงที่สุดในงบที่กำหนด
- เหมาะกับ: E-commerce ที่ต้องการเพิ่มรายได้
แนะนำงบสำหรับธุรกิจไทย
Micro Business / เริ่มต้น:
- 3,000-10,000 บาท/เดือน
- โฟกัส 1-2 Objective
- ใช้ Advantage+ ให้ AI ช่วยทำงาน
Small Business:
- 10,000-50,000 บาท/เดือน
- แยก Campaign ตาม Funnel (Awareness, Consideration, Conversion)
- เริ่ม A/B Testing
Medium Business:
- 50,000-200,000 บาท/เดือน
- หลาย Campaign พร้อมกัน
- ใช้ Retargeting, Lookalike หนักขึ้น
- มีทีมดูแล Full-time
Large Business:
- 200,000+ บาท/เดือน
- Always-on Campaign + Seasonal Campaign
- Testing อย่างต่อเนื่อง
- Collaboration Ads, Brand Safety เป็นเรื่องสำคัญ
เครื่องมือวิเคราะห์และรายงานผล
1. Facebook Analytics & Meta Business Suite Insights
ดูข้อมูลพื้นฐานของโฆษณา:
- Reach, Impressions, Frequency
- CTR (Click-Through Rate)
- CPC (Cost Per Click)
- CPM (Cost Per 1,000 Impressions)
- Conversion Rate
- ROAS (Return on Ad Spend)
2. Breakdown Analysis
แตกข้อมูลเพื่อดูว่ากลุ่มไหนทำงานดีที่สุด:
- By Age & Gender
- By Device (Mobile vs Desktop)
- By Placement (Feed, Stories, Reels)
- By Time (วันและเวลา)
- By Region (กรุงเทพ vs ต่างจังหวัด)
3. Attribution Window
Facebook ให้เลือกว่าจะนับ Conversion แบบไหน:
- 1-Day Click: นับแค่คนที่คลิกแล้วซื้อภายใน 1 วัน
- 7-Day Click: นับคนที่คลิกแล้วซื้อภายใน 7 วัน (Default แนะนำใช้)
- 1-Day View: นับคนที่ดูโฆษณาแล้วซื้อภายใน 1 วัน แม้ไม่ได้คลิก
สำหรับธุรกิจไทย แนะนำ 7-Day Click เพราะคนมักจะดูข้อมูลหลายรอบก่อนตัดสินใจซื้อ
4. Facebook Pixel Helper (Chrome Extension)
ติดตั้งเพื่อตรวจสอบว่า Facebook Pixel ทำงานถูกต้องหรือไม่ เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้เราแก้ปัญหา Tracking ได้เร็วขึ้น
สรุปสั้นๆ: วิธีทำ Facebook Ads 2026 ที่ได้ผล
Facebook Ads ปี 2026 ต้องปรับตัวให้ทัน เพราะเกมเปลี่ยนไปเยอะ สรุปวิธีทำที่สำคัญดังนี้:
เรื่องที่ต้องทำ: AI กับ Automation ต้องเริ่มใช้จริงจัง (Advantage+ ทุกรูปแบบ) / วิดีโอกับ Reels ขาดไม่ได้ / แบ่งกลุ่มลูกค้าให้ละเอียด / เก็บข้อมูลลูกค้าของเราเอง (First-Party Data) / ออกแบบทุกอย่างให้ใช้มือถือสะดวก
เรื่องที่ต้องเลี่ยง: ยิงโฆษณาชุดเดียวให้ทุกคน / หลอกลวงด้วย Clickbait / รูปภาพคุณภาพแย่ / ใช้แต่รูปนิ่งอย่างเดียว / ลืมเช็คว่าบนมือถือดูเป็นยังไง
ฟีเจอร์ที่ควรลอง: Advantage+ Shopping, Dynamic Creative, A/B Testing, Lead Ads + Messenger, Facebook Shops, Collaborative Ads
เฉพาะสำหรับคนทำตลาดไทย: เข้าใจช่วงเวลาที่คนออนไลน์เยอะ / เขียนภาษาไทยแบบเป็นกันเอง / ใช้โปรแบบคนไทยชอบ (ซื้อ 1 แถม 1, ส่งฟรี, COD) / ใส่รีวิวจากคนจริง / คำนึงถึงวัฒนธรรมไทย / Retarget แบบไม่น่ารำคาญ
Facebook เปลี่ยนเร็ว สิ่งที่ใช้ได้วันนี้อาจไม่ได้ผลในอีกไม่กี่เดือน วิธีทำ Facebook Ads ที่ดีที่สุดคือต้องทดลองบ่อยๆ ดูตัวเลข แล้วปรับตาม ไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ ข้อมูลจากธุรกิจเราเองคือคำตอบที่ดีที่สุด
หวังว่าบทความวิธีทำ Facebook Ads 2026 นี้จะเป็นประโยชน์กับคุณ ถ้ามีคำถามหรืออยากแชร์ประสบการณ์การทำ Facebook Ads ทักมาคุยกันได้ครับ ยินดีแลกเปลี่ยนไอเดียกันเสมอ
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!



