คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Google Ads
20 คำถามที่ถูกถามบ่อยเกี่ยวกับ Google Ads สำหรับธุรกิจ SME
20 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Google Ads
บทความนี้ได้รวบรวมคำถามที่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) สอบถามเข้ามามากที่สุดเกี่ยวกับ Google Ads พร้อมคำตอบที่เน้นการนำไปใช้ได้จริง และการทำความเข้าใจหลักการสำคัญในการโฆษณาออนไลน์
1. Google Ads คืออะไร และมีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์อย่างไร?
คำตอบ:
Google Ads คือแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์แบบ Pay-Per-Click (PPC) ของ Google ซึ่งช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถแสดงโฆษณาต่อกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการคล้ายกับที่คุณนำเสนออยู่ ความสำคัญหลักคือการสร้าง Visibility (การมองเห็น) และ Intent (ความตั้งใจ) ในทันที ต่างจากการตลาดแบบอื่นที่ต้องใช้เวลานาน Google Ads ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่พร้อมซื้อได้ทันทีที่พวกเขาพิมพ์คำค้นหา
SME Jump เข้าใจดีว่าการเริ่มต้นโฆษณาต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เราจึงเริ่มต้นจากการวิเคราะห์เป้าหมายธุรกิจของคุณก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกบาทที่ใช้ไปในการโฆษณานั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2. Google Ads แตกต่างจากการทำ SEO (Search Engine Optimization) อย่างไร?
คำตอบ:
ทั้ง Google Ads และ SEO ต่างก็มีเป้าหมายในการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของ Google แต่มีวิธีการทำงานและข้อดีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
- Google Ads (Paid/PPC)
- ความเร็ว: รวดเร็ว โฆษณาจะแสดงผลทันทีหลังจากได้รับการอนุมัติ
- ค่าใช้จ่าย: เป็นการจ่ายเงินตามผลลัพธ์ (Pay-Per-Click หรือ PPC) จ่ายต่อคลิก (CPC) หรือต่อการแสดงผล (CPM)
- ความต่อเนื่อง: จะหยุดแสดงทันทีเมื่อหมดงบประมาณ หรือเมื่อหยุดแคมเปญ
- การควบคุม: สามารถควบคุมตำแหน่งโฆษณา ข้อความ และกลุ่มเป้าหมายได้ 100%
- SEO (Organic Search)
- ความเร็ว: ช้า ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนในการปรับปรุงและจัดอันดับ
- ค่าใช้จ่าย: ไม่มีค่าใช้จ่ายตรงต่อ Google แต่มีค่าใช้จ่ายด้านการสร้างเนื้อหาและปรับปรุงทางเทคนิค
- ความต่อเนื่อง: หากติดอันดับแล้ว จะคงอยู่ได้ในระยะยาวและต่อเนื่อง
- การควบคุม: การจัดอันดับขึ้นอยู่กับอัลกอริทึมของ Google และไม่สามารถควบคุมการแสดงผลได้โดยตรง
SME Jump แนะนำให้ใช้ทั้งสองกลยุทธ์ร่วมกัน โดยให้ Google Ads เป็นเครื่องมือเร่งความเร็วในการสร้างยอดขาย และใช้ SEO เป็นฐานในการสร้างความน่าเชื่อถือและการเข้าชมฟรีในระยะยาว
3. ธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ควรใช้ Google Ads หรือไม่?
คำตอบ:
ควรอย่างยิ่ง ธุรกิจ SME มักจะมีงบประมาณจำกัด และ Google Ads เป็นแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นมากที่สุด คุณสามารถเริ่มต้นด้วยงบประมาณที่ต่ำ ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ (Local Targeting) และวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ได้อย่างแม่นยำ ทำให้ทราบทันทีว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นสร้างยอดขายกลับมาคุ้มค่าหรือไม่
SME Jump เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการงบประมาณ SME เราเน้นการประหยัดงบด้วยการใช้ “คีย์เวิร์ดเชิงลบ” และการเลือก Match Type ที่แม่นยำ เพื่อให้เงินโฆษณาทุกบาทพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่พร้อมซื้อที่สุด
4. ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ในการเริ่มต้นทำ Google Ads?
คำตอบ:
ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่คุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยงบประมาณที่ยืดหยุ่น งบประมาณเริ่มต้นควรคำนวณจาก: ราคาเฉลี่ยต่อคลิก (CPC) ของอุตสาหกรรมคุณ x จำนวนคลิกที่คุณต้องการต่อวัน
สำหรับธุรกิจที่ต้องการ บริษัทรับทำ Google Ads ช่วยดูแล SME Jump มีค่าบริการเริ่มต้นที่ 4,500 บาทต่อเดือน โดยแนะนำค่าใช้จ่ายโฆษณาเริ่มต้นที่ 15,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้แคมเปญมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ของ AI ข้อดีคือ คุณสามารถเลือกใช้บริการแบบ เดือนต่อเดือน โดยไม่ต้องมีสัญญาระยะยาว ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถทดลองตลาดและวัดผลได้อย่างง่ายดาย
5. การทำโฆษณา Google Ads ใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเห็นผลลัพธ์?
คำตอบ:
โฆษณาจะสามารถแสดงผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน หลังจากการอนุมัติ ดังนั้นคุณจะเริ่มเห็นการคลิกและการเข้าชมเว็บไซต์ได้ทันที แต่การเห็นผลลัพธ์ในแง่ของยอดขาย (Conversions) และกำไร จะต้องใช้เวลาในการ “เรียนรู้” ของระบบ AI ของ Google
โดยทั่วไป SME Jump จะใช้เวลาประมาณ 30-60 วัน ในการทดสอบ ปรับปรุง และสร้างข้อมูลให้เพียงพอ เพื่อให้แคมเปญ “นิ่ง” และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีเสถียรภาพและคุ้มค่าที่สุด
6. ประเภทแคมเปญ Google Ads ที่ SME นิยมใช้มีอะไรบ้าง?
คำตอบ:
ประเภทแคมเปญหลักๆ ที่ SME ควรทราบและใช้ประโยชน์ มีดังนี้:
- Search (โฆษณาบนเครือข่ายการค้นหา): โฆษณาแบบข้อความที่ปรากฏเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่คุณกำหนด (เหมาะที่สุดสำหรับการจับลูกค้าที่พร้อมซื้อ)
- Display (โฆษณาบนเครือข่ายดิสเพลย์): โฆษณาแบบรูปภาพหรือแบนเนอร์ที่ปรากฏบนเว็บไซต์พันธมิตรของ Google (เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือ Remarketing)
- Performance Max (PMax): แคมเปญอัตโนมัติที่ใช้ AI ของ Google ในการเข้าถึงลูกค้าทั่วทั้งเครือข่าย (Search, Display, YouTube, Gmail ฯลฯ) จากชิ้นงานโฆษณาที่คุณป้อนเข้าไป
การเลือกประเภทแคมเปญที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายปัจจุบันของคุณ ซึ่งเป็นบริการที่ SME Jump จะช่วยวิเคราะห์และเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
7. คีย์เวิร์ด (Keywords) ใน Google Ads คืออะไร และจะเลือกได้อย่างไร?
คำตอบ:
คีย์เวิร์ดคือคำหรือวลีที่ผู้คนพิมพ์ลงในช่องค้นหาของ Google ซึ่งคุณเลือกเพื่อกำหนดให้โฆษณาของคุณแสดงผลเมื่อมีการค้นหาคำนั้นๆ การเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีต้องเน้นที่ Intent (ความตั้งใจ) ของผู้ค้นหา:
- เน้น Long-Tail Keywords: เช่น แทนที่จะใช้ “กาแฟ” ให้ใช้ “กาแฟคั่วอ่อน ออร์แกนิค ราคา” เพราะมีความเฉพาะเจาะจงและมีโอกาสซื้อสูงกว่า
- คำนึงถึง Business Offerings: เลือกคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการโดยตรงเท่านั้น
8. รูปแบบการทำงานของคีย์เวิร์ด (Keyword Match Types) มีอะไรบ้าง?
คำตอบ:
Match Types ช่วยให้คุณควบคุมความแม่นยำในการแสดงโฆษณา:
- Broad Match (การทำงานแบบกว้าง): โฆษณาจะแสดงสำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง แม้จะเป็นคำพ้อง หรือมีโครงสร้างประโยคต่างกัน (เข้าถึงกว้างที่สุด)
- Phrase Match (การทำงานแบบวลี): โฆษณาจะแสดงเมื่อคำค้นหามีวลีที่คุณกำหนดอยู่ด้วย (แม่นยำปานกลาง)
- Exact Match (การทำงานแบบเจาะจง): โฆษณาจะแสดงเมื่อคำค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดของคุณเกือบทุกประการ (แม่นยำสูงสุด)
SME Jump มักใช้ Phrase Match และ Exact Match เป็นหลักในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายตรงกลุ่มเป้าหมาย และป้องกันการรั่วไหลของงบประมาณไปยังคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง
9. คีย์เวิร์ดเชิงลบ (Negative Keywords) คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
คำตอบ:
Negative Keywords คือคำที่คุณระบุเพื่อ ป้องกันไม่ให้โฆษณาของคุณแสดงผล เมื่อมีคำเหล่านั้นอยู่ในคำค้นหาของผู้ใช้ เช่น หากคุณขาย “กาแฟคั่ว” แต่ไม่ขาย “เมล็ดกาแฟดิบ” คุณควรเพิ่มคำว่า “ดิบ” เป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบ
ความสำคัญคือ: การใช้ Negative Keywords ที่ดีจะช่วย ประหยัดงบประมาณ และ เพิ่ม Quality Score/CTR ได้อย่างมาก เพราะคุณจะไม่จ่ายเงินคลิกที่ไม่ก่อให้เกิด Conversion
10. Quality Score (คะแนนคุณภาพ) คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
คำตอบ:
Quality Score (QS) คือการประเมินความเกี่ยวข้องและคุณภาพของโฆษณาของคุณบนมาตรวัด 1-10 มันขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก:
- Expected CTR: เปอร์เซ็นต์การคลิกที่โฆษณา หรือ โอกาสที่โฆษณาของคุณจะถูกคลิก ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูง ยิ่งดี
- Ad Relevance: ความเกี่ยวข้องของโฆษณา/คีย์เวิร์ดกับคำค้นหา ควรเขียนให้มีคีย์เวิร์ดอยู่ในข้อความโฆษณา
- Landing Page Experience: คุณภาพและความเกี่ยวข้องของหน้าเว็บไซต์ปลายทาง
QS มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะยิ่งคุณมี QS สูงเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสามารถ จ่ายเงินต่อคลิกถูกลง และ ได้ตำแหน่งโฆษณาที่ดีขึ้น เท่านั้น
11. Ad Rank (ลำดับโฆษณา) คำนวณอย่างไร?
คำตอบ:
Ad Rank คือค่าที่กำหนดว่าโฆษณาของคุณจะแสดงในตำแหน่งใด และจะแสดงหรือไม่ โดยมีสูตรการคำนวณหลักคือ:
Ad Rank = Bid Amount (ราคาประมูล) x Quality Score (คะแนนคุณภาพ)
ดังนั้น เพื่อให้ได้ลำดับโฆษณาที่ดี ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องจ่ายเงินประมูลสูงที่สุดเสมอไป แต่หมายถึงการปรับปรุง Quality Score ควบคู่ไปกับการเสนอราคาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นจุดแข็งของ SME Jump ในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดด้วยงบประมาณที่จำกัด
12. ควรใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบไหนดี: อัตโนมัติ หรือ กำหนดเอง?
คำตอบ:
สำหรับ SME ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แนะนำให้ใช้ กลยุทธ์การเสนอราคาแบบอัตโนมัติ (Automated Bidding) เช่น Target CPA (Cost Per Acquisition) หรือ Maximize Conversions เพราะ AI ของ Google มีความสามารถในการวิเคราะห์สัญญาณของผู้ใช้แบบเรียลไทม์ และปรับราคาประมูลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Conversion ได้แม่นยำกว่าการกำหนดเองมาก
แต่การใช้ Automated Bidding ต้องมีการตั้งค่า Conversion Tracking ที่ถูกต้องและมีข้อมูลเพียงพอ ซึ่ง SME Jump จะช่วยคุณติดตั้งระบบนี้ให้สมบูรณ์ก่อนเริ่มใช้
13. Conversion ใน Google Ads คืออะไร และจะติดตั้งได้อย่างไร?
คำตอบ:
Conversion (คอนเวอร์ชัน) คือ การกระทำที่มีคุณค่า ที่คุณต้องการให้ผู้ใช้ทำบนเว็บไซต์ของคุณหลังจากคลิกโฆษณา เช่น การซื้อสินค้า การกรอกฟอร์มขอใบเสนอราคา หรือการโทรศัพท์
การติดตั้งทำได้ผ่าน Google Tag Manager (GTM) และ Google Ads โดยการฝังโค้ดติดตาม Conversion บนหน้า Thank You Page หรือเมื่อมีการกระทำที่ระบุไว้ การติดตั้งที่ผิดพลาดทำให้การวัดผลทั้งหมดผิดเพี้ยน ซึ่ง SME Jump ให้ความสำคัญกับการติดตั้ง Conversion Tracking ที่แม่นยำเป็นอันดับแรกเสมอ
14. CTR (Click-Through Rate) คืออะไร และตัวเลขที่ดีควรอยู่ที่เท่าไหร่?
คำตอบ:
CTR คืออัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกต่อจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล (Impressions) โดยแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ มันบ่งบอกว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหามากแค่ไหน
สูตรคำนวณ: CTR = (จำนวนคลิก / จำนวนครั้งที่แสดงผล) x 100
สำหรับ Search Ads ตัวเลข CTR ที่ดีควรอยู่ที่ 3% ขึ้นไป แต่หากคุณมี CTR สูงถึง 5-10% ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เพราะมันหมายถึง Quality Score ที่ดี และค่าใช้จ่ายที่ลดลง
15. ทำไมโฆษณา Google Search ของฉันถึงไม่แสดงผล?
คำตอบ:
นี่คือปัญหาที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุอาจเกิดจาก:
- งบประมาณรายวันหมดเร็ว: งบประมาณอาจหมดลงในช่วงเช้า ทำให้โฆษณาไม่แสดงในตอนที่คุณค้นหา
- Quality Score ต่ำมาก: โฆษณาไม่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด หรือ Landing Page มีคุณภาพไม่ดี
- Ad Schedule หรือ Location Targeting จำกัดเกินไป: โฆษณาถูกตั้งค่าให้แสดงเฉพาะในเวลาหรือพื้นที่ที่คุณไม่ได้อยู่
- ปัญหาด้านนโยบาย: โฆษณาของคุณอาจถูกปฏิเสธเนื่องจากละเมิดนโยบายของ Google
หากคุณประสบปัญหาเหล่านี้ การตรวจสอบเชิงลึกเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งเป็นบริการที่ SME Jump สามารถช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
16. การกำหนด งบประมาณรายวัน (Daily Budget) ควรทำอย่างไร?
คำตอบ:
งบประมาณรายวันคือจำนวนเงินเฉลี่ยที่คุณต้องการใช้ต่อวัน Google สามารถใช้จ่ายได้มากกว่างบประมาณรายวันที่กำหนดได้สูงสุดถึง 2 เท่าในบางวัน (เพื่อชดเชยวันที่ใช้จ่ายน้อย) แต่จะไม่เกินงบประมาณรายเดือนรวมของคุณ
วิธีคำนวณที่ง่ายที่สุดคือ:
งบประมาณรายวัน = (จำนวน Conversion ที่ต้องการต่อเดือน x Target CPA) / 30.4
หากคุณไม่ทราบ Target CPA ที่แน่นอน ให้เริ่มต้นจากราคา CPC เฉลี่ยของอุตสาหกรรมแล้วคูณด้วยจำนวนคลิกที่คุณต้องการต่อวัน
17. หน้า Landing Page ที่ดีสำหรับ Google Ads ควรมีลักษณะอย่างไร?
คำตอบ:
หน้า Landing Page คือหน้าแรกที่ผู้ใช้เห็นหลังจากคลิกโฆษณา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อ Conversion และ Quality Score ควรมีลักษณะดังนี้:
- ความเร็วในการโหลด (Speed): ต้องโหลดเร็วมาก (ภายใน 1-3 วินาที) โดยเฉพาะบนมือถือ
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance): ข้อความในหน้า Landing Page ต้องตรงกับข้อความในโฆษณาและคีย์เวิร์ด
- ชัดเจน (Clear CTA): มีปุ่มหรือช่องทางให้ดำเนินการต่อ (Call-to-Action) ที่โดดเด่น เช่น “สั่งซื้อเลย” หรือ “รับใบเสนอราคา”
18. จะเขียน ข้อความโฆษณา (Ad Copy) อย่างไรให้ดึงดูดและมีประสิทธิภาพสูงสุด?
คำตอบ:
ข้อความโฆษณาที่ดีต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้:
- ใส่คีย์เวิร์ดใน Headline: เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องและ Quality Score
- ระบุความแตกต่าง และจุดเด่น Unique Selling Proposition (USP): ระบุสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่าง (เช่น “รับประกัน 1 ปี” หรือ “จัดส่งฟรีทั่วประเทศ”)
- ใช้ตัวเลข/ความเร่งด่วน: เช่น “ส่วนลด 50%” หรือ “จำกัด 100 ท่านแรกเท่านั้น”
- กระตุ้นการตัดสินใจ (Call-to-Action): ปิดท้ายด้วยคำเชิญชวนให้ทำบางอย่าง เช่น “ซื้อตอนนี้”, “ติดต่อเรา”
19. ส่วนขยายโฆษณา (Ad Extensions) คืออะไร และควรใช้ประโยชน์อย่างไร?
คำตอบ:
Ad Extensions คือข้อมูลเพิ่มเติมที่ขยายจากโฆษณาหลักของคุณเพื่อเพิ่มพื้นที่โฆษณาและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น:
- Sitelink Extensions: ลิงก์เพิ่มเติมไปยังหน้าย่อยๆ ของเว็บไซต์ (เช่น หน้าติดต่อ, หน้าโปรโมชั่น)
- Callout Extensions: ข้อความสั้นๆ ที่เน้นคุณสมบัติเด่น (เช่น บริการ 24 ชั่วโมง, ที่จอดรถฟรี)
- Call Extensions: หมายเลขโทรศัพท์ที่คลิกแล้วโทรได้ทันทีบนมือถือ
การใช้ Extensions ที่เกี่ยวข้องทุกประเภทจะช่วยเพิ่ม Ad Rank โดยรวมของคุณ และทำให้โฆษณาโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
20. ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ SME มือใหม่ในการทำ Google Ads มักทำคืออะไร?
คำตอบ:
- ไม่ใช้ Negative Keywords: ทำให้เสียเงินไปกับคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง (เช่น คำว่า “ฟรี”, “สมัครงาน”, “คู่มือ”, “ไฟล์ PDF”)
- ละเลย Mobile Optimization: ไม่ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโฆษณาและ Landing Page แสดงผลได้ดีบนมือถือ ซึ่งเป็นแหล่ง Traffic หลัก
- ไม่ติดตั้ง Conversion Tracking: ลงเงินไปมากแต่ไม่ทราบว่าโฆษณาตัวไหนสร้างยอดขายได้จริง ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงแคมเปญได้อย่างถูกต้อง
Google Ads เป็นเครื่องมือโฆษณาที่ทรงพลังสำหรับ SME ที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายทันที บทความนี้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบใช้งานได้จริง ช่วยให้คุณวางแผนและใช้งบโฆษณาได้อย่างคุ้มค่าและแม่นยำ SME Jump มีระบบช่วยคุณวางแผน ปรับแต่ง และตรวจสอบ เพื่อป้องกันความผิดพลาดและเพิ่มผลตอบแทน
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!



