กลยุทธ์การตลาด MK สุกี้

กลยุทธ์การตลาด MK สุกี้ : เมื่อแบรนด์พรีเมียมต้องสู้ศึกบุฟเฟต์

กลยุทธ์การตลาด MK สุกี้ : เมื่อแบรนด์พรีเมียมต้องสู้ศึกบุฟเฟต์

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ตลาดสุกี้เปลี่ยนตาม

ตลาดร้านอาหารไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับศึกใหญ่ โดยเฉพาะในหมวด “สุกี้บุฟเฟต์” ที่มีการแข่งขันรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หนึ่งในคู่แข่งที่ถูกจับตามากที่สุด คือการปะทะกันระหว่าง MK สุกี้ แบรนด์สุกี้ระดับตำนาน กับ สุกี้ตี๋น้อย ผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาเขย่าตลาดด้วยกลยุทธ์ความคุ้มค่าและเวลาเปิดให้บริการถึงตีห้า

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ MK ต้องปรับตัว คนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการแค่คุณภาพอีกต่อไป แต่ต้องการ “ปริมาณในราคาที่จับต้องได้” รวมถึง “ความยืดหยุ่นของเวลา” ร้านอาหารที่ปิดดึก กลายเป็นปัจจัยตัดสินใจที่สำคัญ

นักการตลาดที่ติดตามเทรนด์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด อาจได้แรงบันดาลใจในการปรับกลยุทธ์จากกรณีของ MK หากคุณกำลังมองหาแนวทางการตลาดที่ทันสมัย อาจลองศึกษาจาก บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ ที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนแบบบูรณาการในทุกช่องทาง

MK กับก้าวแรกสู่ตลาดบุฟเฟต์: แคมเปญ MK Buffet 299 บาท

MK สุกี้ ซึ่งอยู่ในตลาดอะลาคาร์ทมาโดยตลอด ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ตลาดบุฟเฟต์อย่างเต็มตัว ด้วยแคมเปญ “MK Buffet 299 บาท” เริ่มต้นในเดือนมิถุนายน 2568 โดยเลือกสาขา Big C และ Lotus’s เป็นจุดทดลอง เมนูหลากหลาย และเวลาทาน 90 นาที ทำให้แคมเปญนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในโซเชียลมีเดีย

ใน 4 วันแรก ยอดขายพุ่งขึ้น 49% และในเวลา 22 วัน ยอดขายโตเฉลี่ยอีก 42% พร้อมกับการกลับมาของลูกค้าเดิมถึง 100% อย่างไรก็ตาม ความท้าทายก็เกิดขึ้นทันที เช่น ปัญหาการบริการไม่ทัน สต๊อกวัตถุดิบไม่พร้อม และจำนวนพนักงานไม่เพียงพอ ซึ่ง MK ยอมรับข้อผิดพลาดและประกาศปรับปรุงอย่างจริงจัง

การเกิดขึ้นของ Bonus Suki: แบรนด์ใหม่ในเครือ MK

เมื่อเห็นศักยภาพของตลาดบุฟเฟต์ MK ตัดสินใจสร้างแบรนด์ใหม่โดยเฉพาะ คือ Bonus Suki ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 โดยอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทลูกชื่อ “คุ้มคุ้ม จำกัด”

Bonus Suki วางจุดขายที่ความคุ้มค่าในราคาจับต้องได้ โดยยังรักษาคุณภาพวัตถุดิบในระดับเดียวกับ MK เช่น น้ำจิ้มสูตรเดียวกัน หมูสไลด์บางเฉียบ และเมนูมากกว่า 60 รายการ ในราคาเริ่มต้น 219 บาท (เฉลี่ย 279 บาทเมื่อรวม VAT และเครื่องดื่ม)

กลยุทธ์เปิดตัวด้วยโปรโมชัน “มา 1 แถม 1” ทำให้เกิดกระแสใน TikTok และ YouTube อย่างรวดเร็ว มีรีวิวเชิงบวกจำนวนมาก และส่งผลให้ราคาหุ้นของ MK พุ่งขึ้นถึง 12% ภายในวันเดียว

การตอบโต้จากคู่แข่งและความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของ MK

สุกี้ตี๋น้อยเองก็ไม่ยอมแพ้ ออกโปรโมชันลดราคา 50% ในช่วงกลางคืนทันที แต่ MK กลับไม่ใช้กลยุทธ์ลดราคาสู้ เพราะอาจกระทบภาพลักษณ์แบรนด์หลัก แต่เลือกใช้ Flanker Brand Strategy คือ การสร้างแบรนด์ใหม่ (Bonus Suki) เพื่อเจาะกลุ่มราคาประหยัดโดยไม่กระทบแบรนด์หลัก

MK ยังคงพัฒนาเมนูใหม่ เช่น “สุกี้ผัดแห้งหม้อแดง” ซึ่งนำเสนอประสบการณ์การทานรูปแบบใหม่ การผัดกันสด ๆ ที่โต๊ะ พร้อมเครื่องปรุงพิเศษ ทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไม่จำเจ

วิเคราะห์ SWOT: MK กับ Bonus Suki

จุดแข็ง (Strengths)

  • แบรนด์แม่มีความน่าเชื่อถือสูง
  • มีระบบซัพพลายเชนที่แข็งแรงอยู่แล้ว
  • ประสบการณ์บริหารร้านอาหารมานาน

จุดอ่อน (Weaknesses)

  • ความคล่องตัวน้อยกว่าแบรนด์เล็ก
  • วัฒนธรรมองค์กรอาจยังไม่ยืดหยุ่นพอสำหรับตลาดบุฟเฟต์

โอกาส (Opportunities)

  • ตลาดบุฟเฟต์ยังเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะต่างจังหวัด
  • ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นมีศักยภาพในการใช้จ่ายและบอกต่อผ่านโซเชียล

อุปสรรค (Threats)

  • คู่แข่งมีโปรฯ ดุดันและคล่องตัวกว่า
  • ความคาดหวังของลูกค้าสูงขึ้น ทำให้ต้องรักษามาตรฐานให้ได้ต่อเนื่อง

เปรียบเทียบกลยุทธ์: MK vs สุกี้ตี๋น้อย

หัวข้อ MK / Bonus Suki สุกี้ตี๋น้อย
จุดขายหลัก คุณภาพวัตถุดิบ + แบรนด์ ราคาคุ้ม + เปิดดึก
การวางตำแหน่ง พรีเมียม + แบรนด์ลูกตีตลาดแมส แมสจัดเต็ม ไม่มีแบรนด์ลูก
การตลาด ค่อย ๆ ทดลองตลาดก่อนขยาย เปิดเร็ว ขยายไว ยิงโซเชียลตรง ๆ
เวลาเปิดบริการ Bonus Suki เปิดถึงตี 5 เปิดถึงตี 5 ทุกสาขาหลัก
กลุ่มเป้าหมายหลัก วัยทำงาน วัยรุ่นพรีเมียม วัยรุ่น มหาชน ทุกเพศทุกวัย

เทรนด์ร้านอาหารปี 2568 ที่ส่งผลต่อ MK

  • การแข่งขันด้านเวลาเปิดบริการ: เปิดดึกกลายเป็นจุดแข็งใหม่
  • TikTok-first Marketing: คนรุ่นใหม่ดูรีวิวก่อนตัดสินใจกินเสมอ
  • Food Experience สำคัญกว่ารสชาติอย่างเดียว เช่น มีโชว์ มีเมนูพิเศษ
  • ราคาเป็นปัจจัยสำคัญกว่าแบรนด์ในกลุ่มลูกค้าใหม่
  • การซื้อโฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads และ Facebook Ads กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนกระแสร้านอาหาร โดยเฉพาะการโปรโมตเมนูหรือโปรโมชันเฉพาะช่วงเวลา

กลยุทธ์ Flanker Brand: วิธีแยกแบรนด์เพื่อแย่งตลาดโดยไม่เจ็บตัว

MK ใช้แนวคิด Flanker Brand หรือการสร้างแบรนด์ลูก เพื่อเข้าตลาดที่มีความแตกต่างจากแบรนด์หลัก เช่น Bonus Suki ที่ราคาประหยัด เข้าถึงง่าย เหมาะกับลูกค้าทั่วไป โดยไม่กระทบกับภาพลักษณ์ MK ที่พรีเมียม

วิธีนี้ใช้กันมากในวงการ FMCG เช่น แชมพู ยาสีฟัน น้ำอัดลม และตอนนี้ MK ก็นำแนวคิดนี้มาใช้กับธุรกิจร้านอาหารได้อย่างเหมาะสม

Flanker Brand คืออะไร

Flanker Brand คือกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ย่อย (Sub-brand) ขึ้นมาเพิ่มเติมจากแบรนด์หลัก เพื่อเข้าไปเจาะตลาดในกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่อาจไม่เหมาะกับแบรนด์หลัก ทั้งในแง่ของราคา ภาพลักษณ์ หรือความต้องการเฉพาะกลุ่ม

คำว่า “Flanker” มาจากศัพท์ทางทหาร หมายถึง “การโจมตีด้านข้าง” ซึ่งในบริบทการตลาด หมายถึงการเสริมแนวรบให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ของตลาด ป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งลูกค้าไปได้ง่าย ๆ

ประโยชน์ของ Flanker Brand คือช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดที่หลากหลาย โดยไม่ต้องลดระดับหรือทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์หลัก เช่น MK สร้าง Bonus Suki มาลุยตลาดบุฟเฟต์ราคาประหยัด โดยยังรักษาความพรีเมียมของ MK เอาไว้

ใครควรใช้กลยุทธ์นี้? ธุรกิจที่มีแบรนด์หลักชัดเจนและต้องการขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยไม่กระทบแบรนด์เดิม เช่น บริษัทอาหาร แฟชั่น เครื่องสำอาง หรือแม้แต่บริการดิจิทัล รวมถึงผู้ที่ต้องการเรียนรู้เรื่องกลยุทธ์เหล่านี้ ก็สามารถเริ่มต้นจาก คอร์สเรียน ChatGPT และ คอร์สเรียน Gemini เพื่อเข้าใจการประยุกต์ใช้ AI กับการวางแผนการตลาดในยุคใหม่

สรุปภาพรวม: ตลาดนี้ไม่ได้มีผู้ชนะคนเดียว

MK แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตัดราคาหรือลอกเลียน แต่ใช้กลยุทธ์ระดับองค์กร เช่น การแยกแบรนด์ การฟังฟีดแบค และการสร้างประสบการณ์ที่ต่าง เพื่อเข้าหาตลาดอย่างมีชั้นเชิง

ผู้บริโภคจึงกลายเป็นผู้ชนะตัวจริง เพราะได้ทั้งคุณภาพ ราคาดี และประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เลือกเสมอ

แจก E-book Google VS Facebook ฟรี!!!

เพียงส่งโค้ดในหน้าเว็บนี้เข้ามาที่ไลน์

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!






    คุยกับเราทางไลน์

    เพิ่มเพื่อน