เพิ่ม CTR Google Ads
ทำอย่างไรให้ Google Ads ถูกคลิกมากขึ้น
เพิ่ม CTR Google Ads ทำอย่างไร
การทำโฆษณาผ่าน Google Ads ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ไม่ได้วัดกันแค่เพียงยอดแสดงผล (Impressions) หรือยอดใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่อัตราการคลิก (Click Through Rate: CTR) คือหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สามารถบ่งบอกได้ว่าโฆษณาของคุณนั้น “น่าสนใจพอ” สำหรับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ บทความนี้จะอธิบายถึงแนวทางสำคัญในการเพิ่ม CTR ให้กับ Google Search Ads
ความสำคัญของอัตราการคลิก (CTR) ใน Google Ads
CTR (Click Through Rate) คืออัตราส่วนระหว่างจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง ตัวอย่างเช่น หากโฆษณาถูกแสดง 1,000 ครั้ง และถูกคลิก 100 ครั้ง CTR จะเท่ากับ 10% ซึ่ง CTR ที่สูงมักหมายถึง:
- โฆษณามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ
- ข้อความโฆษณาดึงดูดความสนใจได้ดี
- กลุ่มเป้าหมายตรงกับเจตนาการค้นหา (Search Intent)
CTR ควรมีค่าอยู่ที่เท่าไหร่
หน่วยวัด CTR เป็น “เปอร์เซ็นต์ (%)” โดยคิดจากจำนวนคลิกที่เกิดขึ้นหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง และคูณด้วย 100 เช่น หากโฆษณาถูกแสดง 1,000 ครั้ง และมีผู้คลิก 100 ครั้ง CTR จะเท่ากับ 10%
โดยทั่วไปแล้ว CTR ที่ดีสำหรับ Google Search Ads ควรมีค่า มากกว่า 7% ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากในสายตาผู้เชี่ยวชาญและจากประสบการณ์ของผู้เขียน โดยแสดงให้เห็นว่า:
- ข้อความโฆษณาน่าสนใจและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหาได้จริง
- โฆษณามีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Keyword) ที่เลือกใช้อย่างเหมาะสม
- ข้อความโฆษณาโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในหน้าเดียวกัน
หาก CTR ต่ำกว่า 7% อย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณว่าข้อความโฆษณาไม่น่าสนใจเพียงพอ หรือไม่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา ซึ่งอาจเกิดจาก:
- การเลือกใช้คีย์เวิร์ดไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- ข้อความโฆษณาไม่ชัดเจนหรือไม่ดึงดูด
- โฆษณาดูคล้ายกับคู่แข่งและไม่มีจุดเด่นที่แตกต่าง
ดังนั้น ผู้ลงโฆษณาควรหมั่นตรวจสอบ CTR ของแต่ละกลุ่มโฆษณาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงข้อความ และโครงสร้างแคมเปญให้ดียิ่งขึ้น
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ CTR
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออัตราการคลิก คือ คะแนนคุณภาพ (Quality Score) และ การใช้ส่วนขยายโฆษณา (Ad Assets) ซึ่งสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ดังนี้:
คะแนนคุณภาพ (Quality Score)
Quality Score คือคะแนนที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของโฆษณาในระดับ 1-10 โดยคะแนนนี้มีผลต่ออันดับการแสดงโฆษณา (Ad Rank) และต้นทุนต่อคลิก (CPC) หากได้คะแนนสูง ก็จะมีโอกาสได้อันดับดีขึ้น และจ่ายต่อคลิกน้อยลง โดยคะแนนคุณภาพนี้จะถูกคำนวณและให้โดยระบบของ Google Ads โดยอัตโนมัติ ซึ่งคะแนนที่ควรตั้งเป้าไว้คือ 7 คะแนนขึ้นไป จึงจะถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและมีประสิทธิภาพในการแข่งขัน
องค์ประกอบของ Quality Score
- Expected CTR (อัตราการคลิกที่คาดหวัง)
- Google จะคาดการณ์ว่าโฆษณาของคุณจะมีโอกาสถูกคลิกมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับโฆษณาอื่นๆ ที่แสดงในคำค้นหานั้น ๆ
- Landing Page Experience (ประสบการณ์บนหน้า Landing Page)
- หน้าเว็บไซต์ปลายทางต้องมีความเกี่ยวข้องกับข้อความโฆษณา ใช้งานง่าย โหลดเร็ว มีข้อมูลครบถ้วน
- Ad Relevance (ความเกี่ยวข้องของโฆษณา)
- ข้อความในโฆษณาต้องเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหาอย่างชัดเจน หากไม่เกี่ยวข้อง Google จะประเมินว่าโฆษณาไม่มีคุณภาพ แม้จะใช้เงินสูงก็ตาม
วิธีเพิ่ม Ad Relevance ให้โฆษณามีความน่าสนใจ
เพื่อให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องมากที่สุดและได้รับคะแนน Ad Relevance ในระดับ “สูง (Above Average)” ควรดำเนินการดังนี้:
1. เขียน Headline และ Description ให้ครบ
Google Ads อนุญาตให้สร้าง Headline ได้ถึง 15 รายการ และ Description ได้ 4 รายการ ผู้ลงโฆษณาควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วน เพราะ Google AI จะนำข้อความเหล่านี้ไปจับคู่แบบ Dynamic กับคำค้นหาของผู้ใช้
2. ใช้คีย์เวิร์ดในข้อความโฆษณา
การใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ใน Headline และ Description จะช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องและทำให้ข้อความโฆษณาตรงกับความต้องการของผู้ค้นหามากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนน Ad Relevance โดยตรง
ตัวอย่าง:
- คีย์เวิร์ด: “โฆษณาออนไลน์”
- Headline ที่เหมาะสม: “โฆษณาออนไลน์ เพิ่มยอดขายทันใจ | รับประกันผลลัพธ์”
3. ดูคำแนะนำจาก Google Ads
คุณสามารถดูคำแนะนำจากระบบ Google Ads ได้ในขณะที่เขียนข้อความโฆษณา โดยระบบจะแสดงตัวชี้วัดคุณภาพของข้อความ เช่น “Excellent”, “Good”, หรือ “Poor” เพื่อประเมินว่าโฆษณาของคุณน่าสนใจและสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ ระบบยังแนะนำคีย์เวิร์ดเพิ่มเติมที่ควรใส่ในข้อความโฆษณา เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องและเพิ่มโอกาสในการได้รับคลิก สิ่งที่ผู้ลงโฆษณาควรตั้งเป้าหมายไว้คือการให้ระบบประเมินข้อความว่าอยู่ในระดับ Excellent หรือ Good ซึ่งจะช่วยให้ CTR สูงขึ้นและประสิทธิภาพแคมเปญโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การใช้ส่วนขยายโฆษณา (Ad Assets) เพื่อเพิ่ม CTR
ถึงแม้ว่าโฆษณาของคุณจะไม่ได้อยู่อันดับ 1 แต่หากมีการใช้ Ad Assets อย่างเหมาะสม โฆษณาจะดูโดดเด่นและมีโอกาสคลิกสูงขึ้นอย่างมาก เพราะทำให้โฆษณาใช้พื้นที่มากขึ้นบนหน้าค้นหาและให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้ใช้ทันที
หมายเหตุ: Ad Assets คือชื่อใหม่ที่ Google Ads ใช้ ชื่อเดิมคือ Ad Extenstions
ประเภทของ Ad Assets ที่ควรใช้
1. Sitelink Extensions
- เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าสำคัญต่าง ๆ ในเว็บไซต์ เช่น หน้าโปรโมชั่น หน้ารีวิวสินค้า หน้าเกี่ยวกับเรา
2. Image Assets
- แสดงรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการ ช่วยให้โฆษณาโดดเด่นและน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อโฆษณาปรากฏบนมือถือ
3. Callout Extensions
- ใส่ข้อความสั้น ๆ เช่น “จัดส่งฟรีทั่วประเทศ”, “รับประกันสินค้า 1 ปี”, “บริการหลังการขายดีเยี่ยม”
4. Promotion Assets
- แสดงโปรโมชั่น เช่น ส่วนลด 20%, ซื้อ 1 แถม 1, หรือข้อเสนอเฉพาะช่วงเวลา
การใส่ส่วนขยายเหล่านี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ช่วยเพิ่ม CTR ได้อย่างชัดเจน
สรุปแนวทางการเพิ่ม CTR Google Ads
การเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ใน Google Ads ไม่ได้เกิดจากการใช้เงินมากที่สุด แต่เกิดจากการเข้าใจระบบของ Google และปรับปรุงโฆษณาให้มีคุณภาพสูง โดยสามารถสรุปได้ดังนี้:
- พัฒนาคะแนนคุณภาพ (Quality Score)
- ใส่ใจใน Expected CTR, Landing Page Experience และ Ad Relevance
- เพิ่มความเกี่ยวข้องของโฆษณา (Ad Relevance)
- เขียนข้อความโฆษณาให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดมากที่สุด
- ใช้ทุกช่องทางในการเขียน Headline และ Description ให้ครอบคลุม
- ใช้ส่วนขยายโฆษณา (Ad Assets)
- ใช้ Sitelink, Callout, Promotion, และ Image Assets อย่างเต็มที่
CTR ที่สูงไม่เพียงแต่ทำให้โฆษณาของคุณได้แสดงในตำแหน่งที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโดยรวมได้อย่างยั่งยืน
หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ดีจาก Google Ads อย่ามองข้ามคุณภาพของโฆษณา เพราะคุณภาพที่ดี จะดึงดูด “คลิกที่มีคุณภาพ” กลับมาเช่นกัน สามารถอ่านแนวทางเพิ่มเติมจาก Google Ads
เกี่ยวกับ SME Jump
หากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์มืออาชีพในการทำโฆษณา Google Ads ที่เชี่ยวชาญและเชื่อถือได้ SME Jump คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม เราคือหนึ่งในไม่กี่เอเจนซี่ในประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น Premier Google Partner อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสถานะสูงสุดที่ Google มอบให้กับพาร์ทเนอร์ที่มีผลงานโดดเด่นและผ่านการรับรองจาก Google ในทุกด้าน
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
122/6 ถ.ราษฎร์พัฒนา แขวงราษฎร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ