กลยุทธ์การตลาดแว่นตาท็อปเจริญ
ผู้นำตลาดแว่นตาไทยอย่างมั่นคงด้วยส่วนแบ่งตลาด 41% และเครือข่ายกว่า 2,130 สาขาทั่วประเทศ
กลยุทธ์การตลาดแว่นตาท็อปเจริญในตลาดแว่นตาไทย
แว่นท็อปเจริญครองตำแหน่งผู้นำตลาดแว่นตาไทยอย่างมั่นคงด้วยส่วนแบ่งตลาด 41% และเครือข่ายกว่า 2,130 สาขาทั่วประเทศ กลยุทธ์หลักคือการเข้าถึงในวงกว้างผ่านการขยายสาขาและกำหนดราคาที่เข้าถึงได้ ควบคู่กับการให้บริการตรวจวัดสายตาฟรี กลยุทธ์นี้ทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวมปี 2566 อยู่ที่ 5,784 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 281 ล้านบาท
ด้วยรูปแบบธุรกิจที่เน้นปริมาณการขายสูง กำไรต่อสาขาต่ำ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แว่นท็อปเจริญประสบความสำเร็จในตลาดระดับกลางถึงล่าง โดยใช้จุดแข็งด้านความเข้าถึงง่าย ความคุ้มค่า และความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมากว่า 77 ปี แม้ต้องเผชิญกับการแข่งขันและเทคโนโลยีใหม่ ๆ การแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนและแผนการขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่
ข้อมูลของตลาดแว่นตาไทย
ขนาดตลาดและแนวโน้ม
ตลาดค้าปลีกแว่นตาไทยมีมูลค่าราว 7,350 ล้านบาทในปี 2566 โดยเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ปัจจัยหนุนมาจากประชากรสูงอายุและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
การแบ่งส่วนตลาด
ตลาดแบ่งเป็น 90% สำหรับตลาดมวลชน และอีก 10% สำหรับตลาดพรีเมียม จุดแข็งของตลาดมวลชนคือความไวต่อราคาและการเข้าถึงบริการง่าย ซึ่งเอื้อต่อกลยุทธ์ของแว่นท็อปเจริญ
เส้นทางสู่ผู้นำตลาด
แว่นท็อปเจริญก่อตั้งมา 77 ปี จากร้านดั้งเดิมสู่เครือข่ายที่ทันสมัย โดยเปลี่ยนชื่อจาก “เจริญการแว่น” เป็น “แว่นท็อปเจริญ” และบริหารโดยทายาทรุ่นที่สอง การพัฒนาเครือข่ายให้ครอบคลุมและการรักษาความน่าเชื่อถือเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ในปี 2567 บริษัทแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนและมีเป้าหมายขยายสู่ภูมิภาคอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย การเคลื่อนไหวนี้ต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นและกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น
กลยุทธ์การตลาดแว่นตาท็อปเจริญ
การกำหนดราคาและการนำเสนอคุณค่า
บริษัทใช้กลยุทธ์ “ล็อกราคา” ผ่านการจัดซื้อโดยตรงจากเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ซึ่งช่วยลดต้นทุนและส่งต่อความคุ้มค่าให้ลูกค้า ทำให้สามารถสร้างแคมเปญลดราคาได้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง แคมเปญลดราคา เช่น “ฉลอง 78 ปี” ลดสูงสุด 78% เป็นอีกเครื่องมือส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ การตรวจวัดสายตาฟรียังเป็นจุดแข็งในการดึงดูดลูกค้าใหม่
กลยุทธ์การจัดจำหน่ายและเครือข่าย
ด้วย 2,130 สาขาทั่วไทยและแผนขยายสู่อาเซียน แว่นท็อปเจริญเลือกเช่าพื้นที่เพื่อความยืดหยุ่น การเปิดร้านแบบรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่ และความสามารถในการย้ายร้านได้ง่ายหากทำเลไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้บริษัทสามารถขยายสาขาได้มากที่สุดในอาเซียนโดยไม่ใช้ระบบแฟรนไชส์
ในด้านออนไลน์ บริษัทมีการเปิดเว็บไซต์ shoponline.topcharoen.co.th และบน LINE Shopping ซึ่งกลายเป็นช่องทางสำคัญในช่วงโควิด-19 โดยมีโปรโมชันลดสูงสุดถึง 70% และลูกค้าสามารถเลือกสินค้า สั่งซื้อ และชำระเงินผ่านมือถือได้โดยตรง กลยุทธ์ Omni-channel ที่ครอบคลุมจึงตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัวและแผนขยายสู่อาเซียน แว่นท็อปเจริญเลือกเช่าพื้นที่เพื่อความยืดหยุ่น การผสมผสานช่องทาง Omni-channel ผ่านเว็บไซต์ ร้านออนไลน์ และแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada ช่วยตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่
กลุ่มผลิตภัณฑ์
แว่นสายตา แว่นกันแดด เลนส์หลายชนิด คอนแทคเลนส์ และอุปกรณ์เสริม ทั้งแบรนด์ของตัวเอง (เช่น Percy, Cos Club) และแบรนด์นานาชาติ (เช่น Ray-Ban, Gucci, Emporio Armani, Reebok) ครอบคลุมทุกช่วงราคา
บริษัทมี Flagship Store เช่น สาขาสยามสแควร์และภูเก็ต ที่ตกแต่งให้โดดเด่น พร้อมโซน Experience Zone ที่ให้ลูกค้าทดลองแว่นขณะเล่นกีฬา ทำอาหาร หรือใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อจำลองการใช้งานในชีวิตจริง เลนส์หลายชนิด คอนแทคเลนส์ และอุปกรณ์เสริม ทั้งแบรนด์ของตัวเองและต่างประเทศ ครอบคลุมทุกช่วงราคา การใช้ AI และจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสริมความน่าเชื่อถือ
การสื่อสารแบรนด์
บริษัทใช้ประโยชน์จากความเก่าแก่ในการสร้างความไว้วางใจ พร้อมการโฆษณาทางทีวี วิทยุ ป้ายบิลบอร์ด และช่องทางออนไลน์ เช่น YouTube, TikTok, Facebook, Instagram และ LINE OA โดยมีการใช้พรีเซนเตอร์อย่าง “เบลล่า ราณี” สื่อสารภาพลักษณ์เรื่อง “ความเชี่ยวชาญด้านสายตา บริการครบจบในที่เดียว” อย่างสม่ำเสมอ
แคมเปญ “มองเห็นถึงทุกด้านของชีวิต” ถูกโปรโมตทั้งทางทีวีและออนไลน์ เพื่อสร้างการจดจำและความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังใช้ Influencer Marketing ทั้งระดับดาราและ Micro-Influencer กลุ่มรีวิวสุขภาพและไลฟ์สไตล์ เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรีวิวมากกว่าการโฆษณาโดยตรง
บนเว็บไซต์ของบริษัท ยังมีบทความ SEO ที่อัปเดตสม่ำเสมอเพื่อให้ติดอันดับ Google และสร้าง Organic Traffic อย่างต่อเนื่อง ช่วยลดต้นทุนการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างความไว้วางใจ พร้อมการโฆษณาทางทีวี แคมเปญออนไลน์ YouTube และการใช้คนดัง เช่น ติ๊ก ชิโร่, เบลล่า ราณี เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย
รูปแบบธุรกิจและผลประกอบการ
รายได้และกำไร
รายได้เติบโตจาก 5,041.7 ล้านบาท (2562) เป็น 5,784 ล้านบาท (2566) แม้กำไรจะผันผวน โดยเฉพาะปี 2565 ที่สูงถึง 626 ล้านบาท ก่อนลดลงในปี 2566 ซึ่งอาจสะท้อนถึงต้นทุนจากการขยายธุรกิจเชิงรุก หรือการลงทุนในกลยุทธ์การตลาดและช่องทาง Omni-channel รวมถึงการใช้โปรโมชั่นหนัก เช่น ลดสูงสุด 78% และ One Price เริ่มต้น 950 บาท ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายหลังโควิด 5,041.7 ล้านบาท (2562) เป็น 5,784 ล้านบาท (2566) แม้กำไรจะผันผวน โดยเฉพาะปี 2565 ที่สูงถึง 626 ล้านบาท ก่อนลดลงในปี 2566 และกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 2567 หลังจากบริษัทเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน
ตารางรายได้และกำไรสุทธิ (ล้านบาท): (ข้อมูลอ้างอิงจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD Datawarehouse)
ปี พ.ศ. | รายได้รวม (ล้านบาท) | กำไรสุทธิ (ล้านบาท) |
---|---|---|
2562 | 5,041 | 134 |
2563 | 4,432 | 133 |
2564 | 4,273 | 284 |
2565 | 5,414 | 626 |
2566 | 5,784 | 281 |
2567 | 5,948 | 401 |
โมเดลธุรกิจ
แว่นท็อปเจริญเน้นปริมาณการขายสูง แม้รายได้ต่อสาขาต่อวันจะเฉลี่ยเพียง 7,441 บาท แต่ด้วยจำนวนสาขามากจึงสร้างกำไรรวมได้อย่างมาก โดยวิธีการบริหารต้นทุนด้วยเงินสด 100% และเช่าพื้นที่แทนการลงทุนระยะยาว ต้นทุนรวมคิดเป็น 92% ของรายได้ (ต้นทุนขาย 24%, ค่าบริหาร 68%) ช่วยให้สามารถปรับตัวเร็วและควบคุมความเสี่ยงได้
พฤติกรรมผู้บริโภคและภาพลักษณ์
ปัจจัยกระตุ้นการซื้อ
ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความไว้วางใจ ความสามารถในการซื้อ คุณภาพการบริการ และความแม่นยำของการตรวจวัดสายตา ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งไม่เกิน 5,000 บาท และมีวงจรการเปลี่ยนเลนส์หรือกรอบทุก 1-2 ปี
ความคิดเห็นจากลูกค้า
ความคิดเห็นหลากหลาย ทั้งชื่นชมและร้องเรียน เช่น แรงกดดันจากพนักงาน การวัดสายตาผิดพลาด ปัญหาคุณภาพสินค้า การรอรับแว่นนาน และโปรโมชั่นไม่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตอบสนองด้วยการวางนโยบาย “บริการด้วยใจ” เช่น การรับประกันความพึงพอใจ เปลี่ยนเลนส์หรือคืนเงินได้หากไม่ตรงค่าสายตา และการมีระบบสมาชิก CRM ที่สามารถเข้ารับบริการหลังการขาย เช่น ปรับทรง ล้างแว่น เปลี่ยนน็อต ได้ที่ทุกสาขา พร้อมระบบแจ้งเตือนตรวจตาประจำปีผ่าน SMS หรือ LINE ทั้งชื่นชมและร้องเรียน เช่น แรงกดดันจากพนักงาน การวัดสายตาผิดพลาด ปัญหาคุณภาพสินค้า การรอรับแว่นนาน และโปรโมชั่นไม่โปร่งใส
บริษัทต้องปรับปรุงคุณภาพบริการให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะการฝึกอบรมพนักงาน และการควบคุมมาตรฐานในทุกสาขา
การแข่งขันและแนวโน้มอุตสาหกรรมแว่นตาไทย
คู่แข่งหลัก
- KT Optic: มุ่งตลาดพรีเมียม ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
- หอแว่น: เน้นความเชี่ยวชาญด้านสายตาและการใช้ VR
- OWNDAYS: นำเข้าเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น เช่น ระบบ Self-service และการตัดแว่นใน 20 นาที
สถานการณ์ “สงครามราคา”
โปรโมชั่นลดราคาหนัก เช่น ซื้อ 1 แถม 1 เป็นเรื่องปกติ แว่นท็อปเจริญมีอำนาจต่อรองสูงจากการจัดซื้อจำนวนมากและมีเครือข่ายที่ครอบคลุม ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดราคาด้อยได้อย่างยั่งยืน
แนวโน้มในอนาคต
- แว่นตาอัจฉริยะและ AR
- แว่นตาพับได้ น้ำหนักเบา
- เลนส์ควบคุมสายตาสั้นสำหรับเด็ก
- ประสบการณ์ Omni-channel
แว่นท็อปเจริญควรลงทุนในเทคโนโลยีและพัฒนาประสบการณ์ออนไลน์เพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน
สรุป: กลยุทธ์การตลาดแว่นตาท็อปเจริญ
แว่นท็อปเจริญใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดไทย ทั้งในด้านราคาที่เข้าถึงได้ การให้บริการฟรี การมีสาขาทั่วถึง และชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือการรักษาคุณภาพบริการ การสร้างความประทับใจที่สม่ำเสมอ และการลงทุนในนวัตกรรม
การขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนควรทำอย่างระมัดระวัง โดยพิจารณาความแตกต่างของผู้บริโภคแต่ละประเทศควบคู่ไปกับการเสริมแกร่งการบริหารเครือข่ายที่กว้างใหญ่ หากสามารถบูรณาการบริการ, เทคโนโลยี และประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างลงตัว แว่นท็อปเจริญจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในไทยและเติบโตอย่างมั่นคงในระดับภูมิภาค
เกี่ยวกับ SME Jump
หากคุณกำลังมองหาผู้ช่วยวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เข้าใจทั้งธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคไทย SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ พร้อมให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การทำ SEO, Performance Ads, Content Marketing จนถึงการวิเคราะห์ Data เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: [email protected]
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ